เชื้อไซโตเมกาโลไวรัส (CMV) เป็นเชื้อไวรัสที่มีอยู่ปกติทั่วไปแต่ไม่ได้รับการรู้จักทั้งจากคนทั่วไปหรือพ่อแม่มากมายนัก เพราะโดยปกติจะพบในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องเช่นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยถ่ายไขกระดูก รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ หากเกิดจากการติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) ในระหว่างที่ตั้งครรภ์อาจส่งผลให้เกิดการแพร่เชื้อไวรัสไปสู่เด็กในครรภ์ได้ซึ่งจะทำให้เกิดการติดเชื้อแต่กำเนิดในทารกได้ (Congenital CMV infection)
โดยอัตราติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) นั้นเกิดขึ้นสูงกว่าถึง 20 เท่าของโรคท็อกโซพลาสโมซิส(โรคไข้ขี้แมว)ที่เป็นอีกหนึ่งข้อกังวลทางการแพทย์ในช่วงเวลาตั้งครรภ์
ซีเอ็มวี (CMV) คืออะไร
เชื้อไซโตเมกาโลไวรัส (Cytomegalovirus) คือ เชื้อไวรัสที่อยู่ในจำพวกตระกูลเริม ไวรัสส่วนใหญ่ที่ติดต่อผ่านทางเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี เชื้อไวรัสนี้จะแพร่กระจายผ่านทางสารคัดหลั่งที่ขับออกจากร่างกาย เช่น น้ำลาย น้ำตา และปัสสาวะ โดยปกติเชื้อไวรัสพวกนี้ส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตราย
ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงจากโรคเรื้อรัง หรือจากการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ ยาเป็นประจำก็จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติที่ทั่วไปที่จะเกิดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อไวรัสซีเอ็มวี (CMV)
อาการแสดงของการติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) เป็นอย่างไร
อาการแสดงของการติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) สำหรับหญิงตั้งครรภ์เป็นอย่างไร
อาการโดยปกติอาจพบ การอักเสบของระบบทางเดินอาหาร เช่นมีการกลืนเจ็บ กลืนลำบาก ถ่ายอุจจาระเหลวร่วมกับอาการไข้ ปอดอักเสบ เป็นต้น
ผลกของการติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) สำหรับหญิงที่ตั้งครรภ์นั้นมักมีอาการไม่รุนแรง
อาการแสดงของการติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) ที่พบในทารก
ทารกในครรภ์ที่ติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) มีความเสี่ยงที่จะมีอาการต่าง ๆ ตั้งแต่แรกเกิด เช่น น้ำหนักตัวน้อยจากการคลอดก่อนกำหนด ตัวเหลือ ตับม้ามโต และระหว่างการเจริญเติบโต รวมถึงอาจเกิดความพิการทางสมอง ศีรษะเล็ก ซึม ตัวอ่อนปวกเปียก ดูดนมได้ไม่ดี รวมไปถึง ปัญหาทางการได้ยิน หรือแม้กระทั่งอาการหูหนวกได้
การติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) แต่กำเนิด
เมื่อทารกเกิดมาพร้อมกับเชื้อซีเอ็มวี (CMV) จะเรียกว่า การติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) แต่กำเนิด โดยที่ทารกบางคนอาจมีปัญหาสุขภาพตั้งแต่แรกเกิด ในขณะที่ทารกบางคนอาจแสดงอาการออกมาในภายหลังช่วงระหว่างการเจริญเติบโต
ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐหรือ CDC ได้ออกมาประกาศในเดือนพฤษภาคม 2022 ว่า การติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) เป็นการติดเชื้อที่เป็นสาเหตุของความพิการแต่กำเนิดที่พบมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยทารก 1 ใน 200 คนนั้นจะเกิดมาพร้อมกับเชื้อซีเอ็มวี (CMV) แต่กำเนิด
และ 1 ใน 5 ของทารกที่มีเชื้อซีเอ็มวี (CMV) แต่กำเนิดจะมีอาการหรือปัญหาสุขภาพในระยะยาว เช่น การสูญเสียการได้ยิน
การติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) แต่กำเนิดตั้งแต่แรกเกิด อาจรวมถึงอาการเหล่านี้แต่ไม่ได้จำกัดแค่เพียงเท่านี้:
- การคลอดก่อนกำหนด
- มีน้ำหนักแรกเกิดต่ำและมีภาวะทารกโตช้าในครรภ์ (IUGR) (ทารกอาจมีการเจริญเติบโตที่บกพร่องในครรภ์ทำห้มีขนาดตัวเล็กกว่าที่คาดการณ์ไว้)
- ผื่น
- ดีซ่าน
- ภาวะศีรษะเล็ก (Microcephaly)
- ภาวะตับและม้ามโตกว่าปกติ (Hepatosplenomegaly)
- จอประสาทตาอักเสบ (Retinitis)
- อาการชัก
การติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) แต่กำเนิดในช่วงระหว่างการเจริญเติบโตของทารก อาจรวมถึงอาการเหล่านี้แต่ไม่ได้จำกัดแค่เพียงเท่านี้ ยังรวมไปถึง:
- ร่างกายตัวอ่อนปวกเปียกหรืออ่อนแอ
- ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
- การสูญเสียการได้ยิน
- การสูญเสียการมองเห็น
- ภาวะศีรษะเล็ก (Microcephaly)
- อาการชัก
การติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) เป็นโรคติดต่อหรือไม่ และเชื้อซีเอ็มวี (CMV) แพร่กระจายอย่างไร
เชื้อซีเอ็มวี (CMV) สามารถแพร่กระจายได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้
- การสัมผัสโดยตรงกับของเหลวจากร่างกายที่ติดเชื้อ เช่น น้ำตา น้ำลาย น้ำปัสสาวะ หรือเลือด
- จากแม่สู่ลูกในท้อง เชื้อซีเอ็มวี (CMV) จะสามารถแพร่ผ่านรกและทำให้ทารกที่กำลังเติบโตในครรภ์ติดเชื้อได้
- จากแม่สู่ลูกโดยผ่านทางเวลาที่แม่ให้นมลูก
สถานการณ์บางอย่างที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสัมผัสเชื้อไวรัสซีเอ็มวี (CMV)
- เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีจะมีโอกาสสูงที่จะแพร่เชื้อไวรัสโดยไม่รู้ตัวในขณะเล่น จูบ หรือกอด และส่งต่อเชื้อไปยังผู้ปกครอง
- การดูแลทารก เช่น ในระหว่างเปลี่ยนผ้าอ้อม จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV)
- ประชากรกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้ที่ดูแลเด็กและพ่อแม่ที่มีลูกกำลังเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมอนุบาล ในขณะที่พ่อแม่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ใหม่ไปด้วย
การติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) มักจะไม่แสดงอาการหรือผลกระทบใด ๆ สำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง และนอกจากทารกในครรภ์แล้ว การติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) ยังมีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
อาการของการติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) เป็นอย่างไร
การตรวจหาการติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เนื่องจากอาการของการติดเชื้อไวรัสนี้มักจะคล้ายกับโรคไข้หวัด ร่วมกับอาการคลื่นไส้ ซึ่งเป็นอาการที่สามารถพบได้บ่อยในระหว่างการตั้งครรภ์
เราจะสามารถวินิจฉัยซีเอ็มวี (CMV) ได้อย่างไร
เชื้อซีเอ็มวี (CMV) จะสามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจเลือดที่จะมีการตรวจหาแอนติบอดี2 ประเภท ได้แก่
- แอนติบอดีIgM ที่ร่างกายจะผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) อย่างเฉียบพลัน การตรวจหาแอนติบอดีIgM จะสามารถบ่งชี้ได้ว่ามีเพิ่งการติดเชื้อหรือกำลังติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) อยู่หรือไม่
- แอนติบอดีIgG ที่ร่างกายจะผลิตขึ้นหลังจากติดเชื้อและเชื้ออยู่ในกระแสเลือดเป็นเวลานาน การตรวจหาแอนติบอดีIgG จะสามารถบ่งชี้ถึงการสัมผัส/การติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) ในอดีตได้
หากการตรวจเลือดก่อนการตั้งครรภ์ตรวจพบแอนติบอดีIgG อาจหมายความว่าร่างกายมีแอนติบอดีเพียงพอที่จะป้องกันทั้งแม่และลูกในครรภ์ในระหว่างการตั้งครรภ์
หากการตรวจเลือดในระหว่างการตั้งครรภ์ไม่พบแอนติบอดีIgM หรือ IgG นานถึง 12 สัปดาห์โดยทั่วไปจะถือว่าเป็นผลที่น่าเชื่อถือ
การติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) จะรักษาได้อย่างไร และจะป้องกันตนเองจากการติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) ได้อย่างไร
ในปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีนหรือวิธีการรักษาการติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) อย่างไรก็ตามในปัจจุบันก็มีการรักษาที่ช่วยลดความรุนแรงของอาการและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากเชื้อไวรัสซีเอ็มวี(CMV)
โดยสิ่งที่สำคัญคือจะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อขอคำแนะนำและการจัดการกับอาการที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) อย่างเหมาะสม
เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจะสามารถให้ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการรักษาและอาการแทรกซ้อนได้
วิธีการป้องกันการติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV)
จากการวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ชี้ให้เห็นว่าช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงมากที่สุดต่อการติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) สำหรับมารดาหรือผู้ที่กำลังจะวางแผนการตั้งครรภ์คือภายในสองเดือนก่อนการตั้งครรภ์และตลอดสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์
ในช่วงเวลานี้เราจึงขอแนะนำให้ผู้ปกครองจำกัดการสัมผัสกับของเหลวจากร่างกายของเด็ก ดังนี้
- เวลาปลอบเด็ก หลีกเลี่ยงการให้ปากของท่านสัมผัสกับน้ำตาของเด็ก แทนที่จะจูบแก้ม ให้จูบที่ศีรษะแทน
- ล้างมือให้สะอาดหลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อมทารกหรือทุกครั้งที่สัมผัสกับปัสสาวะหรืออุจจาระ
- หลีกเลี่ยงการแบ่งปันอาหารกับทารก อย่าใช้แก้วหรือช้อนส้อมใบเดียวกัน และงดเว้นการทานอาหารเหลือจากทารก
เราเข้าใจดีว่าคำแนะนำเหล่านี้อาจจะฟังดูยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ปกครองของเด็กเล็ก อย่างไรก็ตาม
นี่ก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้นจนกว่าช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงมากที่สุดที่จะติดเชื้อซีเอ็มวี (CMV) จะหมดไป
Methinee Chinmetheephithak
ผู้ตรวจสอบความถูกต้องของบทความทางการแพทย์ Luma’s Medical Team
“ฉันเคยติดเชื้อซีเอ็มวี ตอนที่อยู่ประเทศจีน แต่ยังโชคดีที่ตอนนั้นฉันไม่ได้ท้อง ฉันคิดว่าน่าจะติดจากลูกชายฉัน เพราะตอนนั้นเขาอายุแค่ 4 ขวบ และเด็กๆเป็นกันเยอะ จริงๆตอนแรก ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะติดเชื้อ ซีเอ็มวี ไม่เคยนึกถึงโรคนี้เลย รวมถึงแพทย์หลายๆท่านที่ประเทศจีน ตอนนั้นไม่มีใครคิดจะตรวจหาเชื้อซีเอ็มวี
หลังจากตรวจแล้วตรวจอีก ทุกอย่างปกติดี ยกเว้นการทำงานของตับ พอดีฉันรู้จักกับแพทย์ท่านหนึ่งที่เป็นคนฝรั่งเศษด้วยกันเขาแนะนำให้ลองตรวจหาเชื้อซีเอ็มวี เพราะได้ข่าวมาว่า มีเด็กและผู้ปกครอง ที่โรงเรียนฝรั่งเศษที่จีน ติดเชื้อนี้ ฉันก็เลยลองตรวจดู
ตรวจครั้งแรก ไม่เจออะไร เลยลองดูไปก่อน อีก 2 สัปดาห์กลับมาตรวจอีกครั้ง เจอเชื้อซีเอ็มวีค่ะ
พอรู้ตัวว่าติดเชื้อซีเอ็มวี ตกใจมากค่ะ แต่คุณหมอไม่ได้ให้ทานยาอะไร อธิบายว่าเชื้อมันจะหายเองและ ให้ปรับการกินค่ะ ฉันเลยปรับการใช้ชีวิต การเลือกกิน ไม่กินไขมัน น้ำมัน ของทอด งดเนื้อสัตว์ กินแต่พักนึ่งกับข้าว เป็นเวลาหนึ่งเดือน
พอครบหนึ่งเดือน ฉันกลับไปตรวจกับคุณหมออีกครั้ง เชื้อหายหมดแล้ว การทำงานของตับปกติดี คุณหมอยังตกใจในผลที่ออกมา เพราะใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือน และปรับการกิน ทำให้หายสนิท คุณหมอเองยังพูดเลย ว่าไม่เคยเจอคนไข้หายเร็วขนาดนี้!”
Fred, ทีมผู้บริหาร