หากเอ่ยถึงประเทศญี่ปุ่น คนไทยส่วนมากต้องไม่พลาดกับการชิมอาหารแสนอร่อย สัมผัสวัฒนธรรม สถานที่เที่ยวทั้งแบบธรรมชาติ ทันสมัย ไปจนถึงหิมะและอากาศสุดน่าประทับใจ แต่สำหรับสายมูนอกจากการไปเที่ยวตามจุดแลนด์มาร์กต่าง ๆ แล้ว การเปิดทริปสายมูก็เป็นอีกไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดด้วยเช่นกัน เอาเป็นว่าใครเบื่อสายมูประเทศเพื่อนบ้าน อยากลองสายมูญี่ปุ่นต้องไม่พลาดเช็กลิสต์ขอพรสำเร็จ ณ ดินแดนอาทิตย์อุทัยกันเลย
สายมูอย่าพลาดวัดอาซากุสะ (Asakusa Temple)
เริ่มต้นด้วยวัดดังไม่ว่าคุณจะเป็นสายมูหรือนักท่องเที่ยวทั่วไปก็สามารถแวะเวียนไปได้ ตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว มีอีกชื่อว่า “วัดเซ็นโซจิ” ด้านหน้าเริ่มจากการเห็นคามินาริมง (Kaminarimon Gate) หรือโคมไฟสีแดงที่หนักถึง 700 กิโลกรัม ระหว่างทางจะอัดแน่นไปด้วยร้านค้าจำนวนมาก เมื่อเข้าถึงด้านหน้าประตูภายในก็พบกับโคมไฟแดงอีกจุด จากนั้นก็เข้าสู่การไหว้ขอพรกันได้เลย
เริ่มด้วยล้างมือบริเวณบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์มือซ้ายกวักน้ำล้างใส่มือขวา แล้วมือขวากวักล้างมือซ้ายอีกรอบ ตามด้วยการกวักน้ำบ้วนปาก ต่อด้วยการเดินไปหยิบธูปจุดไฟตั้งจิตอธิษฐาน เสร็จแล้วปักบนกระถางใหญ่ด้านหน้า เมื่อปักเสร็จอย่าลืมใช้มือ 2 ข้าง พัดควันธูปเข้าหาตัวเองเพื่อให้สิ่งดี ๆ เข้าหาตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เป็นอันเรียบร้อย
ส่วนใครอยากเสี่ยงเซียมซี เดินไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นด้านในก็ขึ้นบันไดไปกราบไหว้ขอพรสำเร็จกันตามสะดวก ปิดท้ายด้วยการหาซื้อเครื่องรางวัดอาซากุสะติดมือกลับมาเพิ่มความปังให้ชีวิตกันด้วยนะ การเดินทางง่ายมากสามารถนั่งรถไฟลงสถานี Asakusa (Tsukuba) Station แล้วเดินต่อเข้าไปได้เลย
ทริปสายมูต้องไปศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine)
ติดกับย่านฮาราจูกุ สถานที่ท่องเที่ยวของวัยรุ่นญี่ปุ่น มีศาลเจ้าอันแสนเงียบสงบตั้งอยู่ เมื่อเดินผ่านเสาโทริอิ (Torii) นั่นบ่งบอกว่าคุณกำลังก้าวเข้าสู่โลกที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้กว่าแสนต้นบนพื้นที่กว่า 7 แสน ตร.กม. ให้ความร่มรื่นเป็นอย่างมาก ซึ่งการไหว้พระขอพรในศาลเจ้าต้องเริ่มจากเข้าไปยัง Temizuya เป็นซุ้มเล็ก ๆ เอาไว้ล้างมือ ล้างปากเพื่อนำเอาสิ่งสกปรกออกจากตัว โดยล้างมือซ้าย มือขวา ล้างปาก ล้างมือซ้ายอีกรอบ แล้วค่อยล้างกระบวย
จากนั้นเดินเข้าไปในศาลเจ้าเพื่อขอพรกับเทพเจ้าใช้เหรียญ 5 เยน (เหรียญโกะเอะ) ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นเหรียญที่จะสร้างความโชคดีแด่ทุกคน ถือเหรียญเอาไว้ในมือ โค้งคำนับ 2 ครั้ง ปรบมืออีก 2 ครั้ง แล้วขอพรเรื่องที่ต้องการ ปิดท้ายด้วยการโค้ง 1 ครั้ง ก็เรียบร้อย
การเดินทางทริปสายมูมายังวัดนี้สามารถนั่งรถไฟมาลงได้ทั้ง Harajuku Station และ Yoyogi Station จากนั้นเดินต่อชิล ๆ ไปอีกประมาณ 7 นาที ก็ถึงวัดแล้ว
สายมูญี่ปุ่นแนะนำวัดนาริตะซัง ชินโชจิ (Naritasan Shinshoji Temple)
วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองนาริตะ จังหวัดชิบะ ติดกับกรุงโตเกียว ซึ่งนักแสดงคาบูกิให้ความเลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่ง ขณะที่แต่ละวันจะมีผู้คนจำนวนมากแวะเวียนไปกราบไหว้ขอพรกันแบบไม่ขาดสาย จุดเด่นสำคัญคือเจดีย์สามชั้น สูง 25 เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1712 ใช้รูปแบบการก่อสร้างที่เรียกว่า “อิจีไมทารุกิ” มีไม้จันทันเพียงแผ่นเดียวพร้อมการแกะสลักลายเมฆกับคลื่นน้ำ สวยงามเกินบรรยาย ภายในเป็นสถานที่ประดิษฐานของพระพุทธรูป ขณะที่บริเวณกำแพงก็มีการสลักลวดลาย 16 อรหันต์ อันแสนงดงาม
อีกจุดที่นิยมของสายมูญี่ปุ่นคือการเดินขึ้นไปสักการะศาลเจ้าชุซเซะอินาริ ซึ่งจะเน้นขอพรเกี่ยวกับหน้าที่การงาน ความก้าวหน้าในอาชีพ เมื่อขอพรเสร็จแล้วยังมักนำนามบัตรของตนเองติดไม้บนไม้เอมะเพื่อความเป็นมงคลของชีวิตอีกด้วย
การเดินทางสามารถนั่งรถไฟมาลงยัง Narita Station แล้วต่อแท็กซี่เข้าไป หรือใครอยากเดินชิล ๆ ก็ไม่มีปัญหา ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที
ขอพรสำเร็จที่ศาลเจ้าคาเนะเฮะบิ ซุย (Kanahebi sui Shrine)
ใครผ่านไปแถวจังหวัดมิยากิ (Miyaki) อยากแนะนำให้สายมูทุกคนแวะกันที่ศาลเจ้าแห่งนี้เลย ตั้งอยู่ในเมืองอิวะนุมุ (Iwanuma) สร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพคาเนะเฮะบิ เบ็นไซเท็น (Kanahebi-Benzaiten) 1 ใน 7 เทพเจ้าด้านโชคลาภ อีกทั้งยังเป็นเทพหญิงเพียงองค์เดียวเท่านั้น จึงไม่แปลกที่ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากจะนิยมมาขอพรในเรื่องเงินทอง การได้โชคลาภ การทำธุรกิจ กิจการค้าขายต่าง ๆ
วิธีขอพรเมื่อเข้าไปในศาลเจ้าแล้วให้โค้งคำนับ 2 รอบ พนมมือระดับหน้าอกแล้วปรบมือ 2 รอบ จากนั้นก็ขอพรสำเร็จสิ่งที่ตนเองต้องการได้เลย หากใครอยากให้คำขอเป็นจริงด้วยแรงกล้าจะซื้อรูปปั้นงูสีขาวซึ่งวางขายอยู่ด้านหน้าเพื่อถวายแด่องค์เทพก็ได้เช่นกัน
บริเวณอื่นของศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีอุโมงค์ต้นวิสทีเรียในชื่อ “คิวริวโนะฟูจิ” อุโมงค์ต้นไม้ขนาดใหญ่อายุราว 300 ปี ให้ได้ถ่ายรูป รวมถึงหินจามนเซกิ (Jyamon Seki) ซึ่งวางตั้งตามด้านนอกของรั้วก็เป็นอีกจุดที่ผู้คนนิยมนำกระเป๋าสตางค์ของตนเองมาถูหินแต่ละก้อนเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งร่ำรวยด้วย การเดินทางนั่งรถไฟมาลง Iwanuma Station แล้วต่อรถแท็กซี่เข้าไปก็ถึงศาลเจ้าแล้ว
สายมูต้องไปไหว้ศาลเจ้าโคอามิ (Koami Shrine)
สายมูที่เที่ยวโตเกียวอยากแนะนำศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่แอบซ่อนตัวอยู่ในย่านนิฮงบาชิ (Nishonbashi) ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจเลยทีเดียว ด้านในเป็นสถานที่ประดิษฐานของเทพเจ้าอุกะโนะมิทามะ (Ukanomitama) หรือเทพอินาริ ซึ่งชาวญี่ปุ่นยกย่องว่าเป็นเทพผู้ให้โชคลาภ เงินทอง ธุรกิจรุ่งเรือง รวมถึงยังมีเทพเจ้าอิจิคิชิมะฮิเมะ โนะ คามิ (เทพเจ้าเบ็นไซเท็น) และเทพฟุคุโรคุจูด้วย
คนเน้นทริปสายมูด้านการเงิน มีปัญหาเงินทองติดขัด ไม่พอใช้ สามารถแวะมาขอพรกับเทพเจ้าทั้ง 3 องค์นี้ได้เลย โดยเฉพาะเทพเจ้าอุกะโนะมิทามะ ซึ่งบริเวณโดยรอบยังมีความแปลกตาด้วยการเป็นศาลเจ้าเก่าแก่สร้างจากไม้สนตั้งอยู่ท่ามกลางอาคารสำนักงาใหญ่โต
ส่วนอีกจุดที่หลายคนอาจไม่รู้คือบริเวณบ่อล้างเงินเซนิอะระอิ บ่อน้ำเล็ก ๆ แต่ศักดิ์สิทธิ์มากในเรื่องเงินทอง วิธีขอให้ใช้เหรียญหรือธนบัตรใส่ลงไปในกระด้งจากนั้นก็นำเงินดังกล่าวไปล้างในบ่อน้ำเสร็จแล้วเก็บไว้กับกระเป๋าสตางค์ของตนเอง ช่วยเพิ่มโชคลาภและเงินทองไหลเข้ามาตลอด
การเดินทางจาก Ningyocho Station สามารถเดินต่อเข้ามายังศาลเจ้าได้เลย ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ก็ถึงแล้ว
ขอพรสำเร็จด้านความรักที่ศาลเจ้าโตเกียว ไดจิงกุ (Tokyo Daijingu Shrine)
ปิดท้ายกันด้วยสายมูญี่ปุ่นที่อยากเจอความรักดี ๆ แนะนำให้แวะไปกันที่ศาลเจ้าแห่งนี้ได้เลย ตั้งอยู่ในย่าน Iidabashi ภายในศาลเจ้าจะเป็นที่ประดิษฐานของ “Enmusubi” หรือเทพเจ้าผูกรักตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น จากประวัติเชื่อว่าเป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเปลี่ยนการปกครองของยุคเมจิ ทว่าด้วยเหตุแผ่นดินไหวและสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นไดจิงกุจนปัจจุบัน
เน้นเลยว่าเป็นศาลเจ้าที่คนส่วนใหญ่มักขอพรสำเร็จในเรื่องความรักมาก ๆ ขณะที่บรรยากาศภายในก็ร่มรื่น อัดแน่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่หลากสายพันธุ์ หลังขอพรเรียบร้อยอย่าลืมซื้อเครื่องรางญี่ปุ่นกลับไปด้วยนะทุกคน เป็นของขลังที่จะผสานพลังให้ความรักสมบูรณ์แบบและเจอแต่คนดีเข้าหา การเดินทางสามารถนั่งรถไฟลงสถานี Iidabashi แล้วเดินต่อไปไม่เกิน 5 นาที
สรุป
นี่คือวัดและศาลเจ้าดังสำหรับสายมูที่อยากแวะเวียนไปกราบไหว้ขอพรสำหรับสายมูญี่ปุ่น หากเบื่อสายมูประเทศเพื่อนบ้านแล้วบินไปที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน แต่อย่าลืมไม่ว่าจะทริปสายมูครั้งไหนก็ตาม ประกันเดินทางไปญี่ปุ่น คืออีกสิ่งที่ต้องมีติดตัวไว้ตลอดเพื่อความสบายใจในทุกเส้นทาง จึงขอแนะนำ “ประกันเดินทาง LUMA GO” จ่ายเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียง 199 บาท ให้ความคุ้มครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาท คุ้มครองโควิด-19 พร้อมบริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยกรณีฉุกเฉิน Call Center 24 ชม. สมัครง่ายรับกรมธรรม์ผ่านออนไลน์ ไปมูทริปไหนจัดไปเลย
อ่านเพิ่มเติม:
- เลือกประกันการเดินทางที่ดีที่สุดสำหรับญี่ปุ่น – เพิ่มความมั่นใจให้ทุกการเดินทาง
- 10 วลีภาษาญี่ปุ่นที่ควรรู้ก่อนเดินทาง – เตรียมตัวสำหรับการสื่อสาร
- 5 อาหารญี่ปุ่นที่ต้องลอง – เพิ่มความสุขผ่านประสบการณ์อาหาร