สุขภาพลูกเป็นเรื่องที่สำคัญอันดับต้นๆของคุณพ่อคุณแม่ทุกคน แล้วด้วยโรคต่างๆที่เจอได้ทุกที่ การมีประกันสุขภาพเด็กกลายเป็นเรื่องจำเป็นมากๆ เนื่องจาก เด็กเล็กป่วยได้ง่าย และร่างกายอาจจะยังไม่แข็งแรง ต้องให้ความสำคัญมากๆ เวลาไม่สบาย หรือมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น
ค่ารักษา และ ค่าพยาบาลสมัยนี้ นอกจากสูงขึ้นทุกปี ยังมีบริการที่จำกัด ยังคงจำกันได้ดีตอนช่วงที่โรค โควิด – 19 ระบาดหนักๆ โรงพยาบาลเต็มทุกที่ ไม่สามารถรักษากันได้ทั่วมือ มีเงินอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอสำหรับการรักษา การระบาดที่ผ่านมา ทำให้คนไทยหลายๆ คนได้เปิดหูเปิดตา และมองเห็นถึงความสำคัญของการมีประกันสุขภาพ โดยเฉพาะประกันสุขภาพสำหรับเด็กๆ
เลือกประกันสุขภาพเด็กแบบไหนดี
การเลือกประกันสุขภาพเด็ก ไม่ง่ายเลย นอกจากมีบริษัทประกันภัย และ แผน ให้เลือกเยอะแยะมากมาย ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาในการเลือก และการเลือกประกันสุขภาพเด็ก ควรที่จะเลือกอย่างมั่นใจ และอยู่ต่อไปยาวๆกับบริษัทประกันภัยนั้น เนื่องจากการเปลี่ยนบริษัทบ่อยๆ ทำให้มีประวัติ และ อาจจะทำให้หาที่รับใหม่ ที่คุ้มครองครอบคลุมได้ยาก เนื่องจากทุกอย่างที่เคยเคลม หรือ ใช้สิทธิประกันมาก่อนหน้านั้น จะถือว่าเป็นโรคที่เป็นมาก่อนทำประกัน อาจจะติดเป็นข้อยกเว้น และเป็นไปได้ที่ประกันสุขภาพไม่คุ้มครอง
ประกันสุขภาพเด็กแบบเหมาจ่าย
ประกันสุขภาพเด็กแบบเหมาจ่าย เป็นรูปแบบแผนประกันที่ออกแบบมาเพื่อให้ความคุ้มครองสุขภาพของเด็กแบบไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย หรือ ค่ารักษา และโดยส่วนใหญ่ จะไม่มีกำหนดวงเงินสำหรับโรคร้ายแรง หรือ มะเร็ง ที่สามารถใช้เงินในการรักษาค่อนข้างสูง
ประกันสุขภาพเด็กแบบเหมาจ่าย จะตั้งวงเงินรักษาเป็นรายปี หรือ รายครั้ง ก็ได้ ขึ้นอยู่กับบริษัทประกันภัย การรักษาจะเป็นไปตามที่ระบุในกรมธรรม์ หากเป็นวงเงินรายปี รายครั้ง หรือ รายโรค คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสนใจตรงนี้ ในการเลือกแผนประกันสุขภาพให้ลูก
โดยปกติ แผนประกันสุขภาพเหมาจ่าย จะมีราคาค่าเบี้ยที่สูงกว่าแบบที่ระบุวงเงินรายครั้ง เนื่องจาก ประกันสุขภาพเหมาจ่าย สามารถใช้จำนวนเงินในการรักษาที่มากกว่า เช่น 5 ล้าน บาท 10 ล้าน บาท หรือ 100 ล้าน บาท แล้วแต่บริษัท และ ความต้องการของผู้เอาประกัน หรือในกรณีนี้ อาจจะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ปกครอง
ประกันสุขภาพเด็กแบบแยกค่าใช้จ่าย
ประกันสุขภาพเด็กแบบแยกค่าใช้จ่าย เป็นรูปแบบของประกันที่คุ้มครองสำหรับค่ารักษาพยาบาลและบริการทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่ระบุในกรมธรรม์ แต่จะมีระบุวงเงินในการรักษา หรือ ค่าใช้จ่าย แต่ละหมวดแยกออกไปเช่น ค่าห้อง ค่าแพทย์รักษา ค่ายากลับบ้าน หรือ ค่ารักษาเนื่องจากอุบัติเหตุ และ หมวดอื่นๆ ตามที่ระบุไว้
การเลือกประกันสุขภาพเด็กแบบแยกค่าใช้จ่าย โดยส่วนใหญ่ ค่าเบี้ยประกันจะถูกกว่าแบบเหมาจ่าย เนื่องจากวงเงินในการรักษาแต่ละครั้งมีวงเงินจำกัด เช่น 10,000 บาท หรือ 200,000 บาท เป็นตัวอย่าง
หากค่าใช้จ่ายในการรักษา เกินวงเงินที่ระบุในกรมธรรม์ สำหรับหมวดนั้นๆ เช่น มีระบุค่ายากลับบ้าน 5,000 บาท แต่พอถึงเวลากลับบ้านจริงๆ ค่ายากลับบ้านทั้งหมด 7,500 บาท ทางผู้เอาประกันจะต้องชำระเองส่วนเกิน 2,500 บาท
เปรียบเทียบประกันสุขภาพเด็ก 0-5 ขวบ
สำหรับเด็กเล็ก การมีประกันสุขภาพเด็กจำเป็นมากๆ เนื่องจาก ภูมิต้านทานยังน้อย เสี่ยงที่จะไม่สบายได้ง่าย และ ในช่วงอายุยังน้อยๆ บางครั้งการรักษาต้องละเอียดอ่อนกว่าผู้ใหญ่ วันนี้ทาง LUMA ได้รวบรวมแผนประกันสุขภาพเด็กสำหรับทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคุ้มครอง ค่าเบี้ยที่ต้องชำระ หรือ นโยบายในการสมัครต่างๆ
แผนประกันสบายกระเป๋า
หากมองค่าเบี้ยที่สบายกระเป๋า สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจ คือวงเงินในการรักษาอาจจะไม่สูงมาก โดยเฉพาะเรื่อง ค่าห้องและค่าอาหาร ที่อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการนอนโรงพยาบาล 1 คืน ณ ปัจจุบัน ต้องทำใจและพร้อมที่จะมีค่าใช้จ่ายส่วนเกิน หากลูกน้อยต้องนอนแอดมิทที่โรงพยาบาล
สำหรับวัย 0-5 ปี ราคาค่าเบี้ยสบายกระเป๋า ขอแนะนำ
Allianz Ayudhya – อลิอันซ์ อยุธยา
Pacific Cross – แปซิฟิค ครอส
ทั้ง 2 บริษัทนี้ บังคับต้องมีผู้ปกครองทำพ่วงกับเด็ก
แผนประกันครอบคลุม
การเลือกแผนประกันที่ครอบคลุมสำหรับทุกการรักษา สามารถให้ความอุ่นใจกับคุณพ่อคุณแม่ ไม่ต้องกังวลว่าเงินจะพอค่ารักษาไหม จะมีค่าใช้จ่ายส่วนเกินไหม สามารถมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง ว่าหากลูกไม่สบาย จะอยู่ในมือหมอและสามารถรักษาตามอาการ โดยไม่ต้องกังวลถึงค่าใช้จ่าย
สำหรับวัย 0-5 ปี ความคุ้มครองแบบครอบคลุม ขอแนะนำ
LUMA
April
AXA
MTL – เมืองไทยประกันชีวิต
ทั้ง 4 บริษัทนี้ มอบความคุ้มครองที่ค่อนข้างครอบคลุม มีทั้งแบบ มีผู้ปกครองพ่วง และ ไม่พ่วง
แผนประกันพรีเมี่ยม
ในกรณีที่การเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับครอบครัว การเลือกแผนประกันแบบที่พรีเมี่ยม หรือ ค่าเบี้ยสูง มาพร้อมกับ วงเงินการรักษาที่สูง นอกจากจะเพียงพอสำหรับการรักษาในประเทศไทย ยังสามารถนำไปใช้ต่างประเทศ หากพบว่ามีผู้เชี่ยวชาญด้านเฉพาะที่อยากรักษา วงเงินที่สูง สามารถเปิดโอกาสให้คุณพ่อคุณแม่ได้พาลูกน้อยไปรักษาที่ต่างๆ ได้
สำหรับวัย 0-5 ปี ความคุ้มครองแบบ พรีเมี่ยม ขอแนะนำ
LUMA
April
ทั้ง 2 บริษัทนี้ บังคับต้องมีผู้ปกครองทำพ่วงกับเด็ก และไม่ต้องพ่วง
เปรียบเทียบประกันสุขภาพเด็ก 6-10 ขวบ
เมื่อลูกเริ่มโตขึ้น อายุ เกิน 6 ขวบขึ้นไป มีแผนประกันให้เลือกเพิ่มขึ้นมาเยอะ ทั้งแบบ ทำพ่วงผู้ปกครอง แล้วแบบไม่ต้องพ่วงผู้ปกครอง อีกหนึ่งปัจจัยที่คุณพ่อคุณแม่อาจจะนำมาพิจารณา คือการเลือกประกันแบบ ไม่ต้องมีคุ้มครองผู้ป่วยนอก หรือ OPD เนื่องจากเด็กอายุที่มากขึ้น ไม่ได้ป่วยง่ายเหมือนเด็กเล็ก หรือ เด็กที่เพิ่งเข้าเรียนชั้นอนุบาล สามารถปรับและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้านค่อนข้างเยอะเลย
แผนประกันสบายกระเป๋าสำหรับเด็กโต
การมีประกันสุขภาพเด็กติดตัว สามารถช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านเมื่อลูกไม่สบาย และแน่นอน สมัยนี้โรคต่างๆ ไข้หวัดต่างๆ สามารถติดกันได้อย่างง่ายดาย หากลูกไปโรงเรียนมีโอกาสที่จะติดมาอยู่แล้ว ประกันสุขภาพเด็กจึงเป็นเรื่องต้องมี
สำหรับวัย 6 – 10 ปี ราคาค่าเบี้ยสบายกระเป๋า ขอแนะนำ
Allianz Ayudhya – อลิอันซ์ อยุธยา
Pacific Cross – แปซิฟิค ครอส
MTL – เมืองไทยประกันชีวิต
พออายุมากขึ้น สามารถเลือกได้ทั้งแบบ มีผู้ปกครองพ่วง และ ไม่ต้องมีผู้ปกครองพ่วงา
แผนประกันครอบคลุมสำหรับเด็กโต
การเลือกแผนประกันที่ครอบคลุม ทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเลย ไม่ต้องมีส่วนเกิน เวลาเตรียมตัวกลับบ้าน แล้วข้อดีของเด็กวัย 6-10 ปี จะมีแผนให้เลือกมากมาย และวงเงินต่างๆ ยิ่งน่าสนใจ
สำหรับวัย 6 – 10 ปี ความคุ้มครองที่ครอบคลุม ขอแนะนำ
LUMA
April
AXA
สามารถเลือกได้ทั้งแบบ มีผู้ปกครองพ่วง และ ไม่ต้องมีผู้ปกครองพ่วง
แผนประกันแบบพรีเมี่ยม สำหรับเด็กโต
หากชีวิตครอบครัว มีเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ หรือ มีการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ แนะนำให้เลือกแผนแบบพรีเมี่ยมให้ลูก เนื่องจากค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่ต่างประเทศค่อนข้างสูงกว่าที่ประเทศไทย หากคุณพ่อคุณแม่กำลังหาแผนประกันที่คุ้มครองสูง และต้องการความมั่นใจในการรักษา สามารถดูเป็นแนวทางตามนี้
สำหรับวัย 6 – 10 ปี ความคุ้มครองแบบพรีเมี่ยม ขอแนะนำ
LUMA
April
สามารถทำให้เด็กได้โดยไม่ต้องมีผู้ปกครองพ่วง และ วงเงินสูง เหมาะกับไลฟ์สไตล์ต่างๆ
ประกันสุขภาพเด็ก เลือกแบบไหนดี?
LUMA เข้าใจดี ว่าการเลือกแผนประกันสุขภาพเด็กไม่ง่าย แล้วไม่ใช่การตัดสินที่จะเร่งทำ การคิดหลายๆ มุม พิจารณามุมต่างๆ เช่น โรงพยาบาลที่ครอบครัวรักษา ค่าใช้จ่ายต่อครั้งโดยประมาณอยู่ที่เท่าไร สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ว่าประกันสุขภาพเด็กที่ไหนดี
แนะนำในการพิจารณาแผนประกันสุขภาพเด็ก มีดังนี้:
- ความคุ้มครอง เพียงพอกับ ชีวิต และ ไลฟ์สไตล์ของครอบครัวหรือไม่
- เครือข่ายของบริษัทประกันภัย มีโรงพยาบาลที่ไหน ที่สามารถเข้ารักษาได้
- ต้องสำรองจ่ายแล้วนำมาเบิก หรือ ทางบริษัทประกันภัยจัดการกับโรงพยาบาลเอง
- การชำระเงินค่าเบี้ยประกัน มีทางเลือกอะไรให้ ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระการเงิน
แน่นอนไม่มีใครอยากให้ลูกป่วย แต่เมื่อเกิดไม่สบายขึ้นมา การมีประกันสุขภาพไว้ดูแลลูก สามารถทำให้อุ่นใจ และ เปิดโอกาสให้ลูกเราได้ถึงมือแพทย์ เพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถรักษาเองได้ การเป็นคุณพ่อ หรือ คุณแม่ ไม่ได้แปลว่าจะต้องทำทุกอย่างให้ลูกได้ แต่เชื่อว่าคนที่เป็นคุณพ่อ หรือ คุณแม่ ต้องการที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกเสมอ