หนึ่งในวิธีสร้างสุขภาพที่ดีให้กับเด็กทุกคนนั่นคือการที่พวกเขาได้ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย จะเรียกเป็นการเล่นหรือออกกำลังกายก็ไม่มีปัญหา ขอแค่อย่างน้อยในแต่ละวัน หรือสัปดาห์ละ 4-5 วัน เด็ก ๆ ได้ขยับร่างกายของตนเองเพื่อให้หัวใจได้สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงแบบครบทุกส่วนพร้อมเติบโตอย่างแข็งแรง จึงอยากแนะนำกิจกรรมสำหรับเด็กทุกคนที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง รวมถึงคุณครูในโรงเรียน สามารถนำไปปรับใช้กันได้ตามความเหมาะสมเลย
ลูกไม่ค่อยมีกิจกรรม ทำไงดี ?
ปัญหาหนักใจของพ่อแม่ยุคใหม่จำนวนมากคงหนีไม่พ้นลูก ไม่ว่าเป็นเรื่องไม่ค่อยมีกิจกรรมทำ ไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่อยากทำกิจกรรมที่ต้องมีเหงื่อ หรือเคลื่อนไหวเยอะ ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากการติดมือถือ ติดแท็บเล็ต นอนดูการ์ตูน เล่นเกมเพลินทั้งวันจนไม่ค่อยมีการขยับตัว รู้สึกว่าการออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านมันเหนื่อย ลองมาเปลี่ยนพฤติกรรมลูกตามคำแนะนำเหล่านี้กันเลย
พ่อแม่มีส่วนร่วมในการชวนไปทำกิจกรรม
การเล่นกีฬาเป็นพื้นฐานดี ๆ ในการทำให้ร่างกายเกิดความแข็งแรง ซึ่งพ่อแม่สามารถชวนลูกออกไปทำกิจกรรมเสริมพัฒนาการนี้ได้ รวมถึงคุณครูที่โรงเรียนในวิชาพลศึกษาก็เป็นอีกรายวิชาที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน เหมาะกับเด็กทุกเพศทุกวัยขึ้นอยู่กับศักยภาพและความเหมาะสม หากเป็นเด็กเล็กอายุ 3-6 ปี อาจเล่นกีฬาง่าย ๆ เช่น วิ่งไล่จับ วิ่งเปี้ยว หรือฝึกพื้นฐานกีฬาทั่วไปอย่างฟุตบอล เทควันโด ว่ายน้ำ เมื่อเด็กเริ่มโตตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป ก็ค่อยให้เขาเลือกในสิ่งที่ชอบ จะเล่นจริงจังจนสามารถทำเป็นอาชีพในอนาคต หรือเล่นสนุก ๆ ก็ได้สุขภาพที่ดี เสริมพัฒนาการด้านร่างกายหลายส่วนขึ้นอยู่กับชนิดกีฬาที่เล่นเลย เช่น บาสเกตบอล จะช่วยให้ข้อต่อและกระดูกยืดตัว สามารถเพิ่มความสูงได้ ว่ายน้ำช่วยให้ปอดและหัวใจแข็งแรง เป็นต้น
พาลูกเข้าคอร์สเล่นกีฬา
วิธีต่อมาลองพาลูกไปเข้าคอร์สการเล่นกีฬาประเภทต่าง ๆ หรืออาจถามกับเด็กโดยตรงว่าชอบกีฬาไหนเป็นพิเศษ เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล ยิมนาสติก ว่ายน้ำ นอกจากการได้ทำกิจกรรมอย่างน้อยทุกสัปดาห์กับครูผู้สอนแล้ว หากเด็กชอบมาก ๆ ก็อาจขอพ่อแม่เล่นกีฬานั้นด้วยตนเองที่บ้าน หรือเพื่อนแถวบ้าน ได้ออกกำลังกายแทบทุกวันโดยไม่ต้องมีการบังคับ
ทำให้การออกกำลังกายหรือการเล่นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
พ่อแม่สามารถสอดแทรกการออกกำลังให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของลูกได้ง่าย ๆ เช่น การชวนออกไปเดินเล่นในห้างแล้วให้ลูกได้เล่นของเล่นต่าง ๆ เล่นบ้านบอล เล่นบทบาทสมมุติเรื่องอาชีพ ฯลฯ ทุกวันนี้มีสถานที่ดังกล่าวให้เด็กเยอะมาก
ปล่อยให้เด็กได้วิ่งเล่นกับเพื่อนที่โรงเรียนก่อนกลับบ้าน
วิธีง่ายสุด ๆ หากต้องการให้ลูกได้ขยับร่างกายบ้างหากรู้ว่าบ้านไม่ได้มีพื้นที่มากพอ หรือพ่อแม่ไม่ได้สะดวกทำกิจกรรมกับลูก ยังไม่จำเป็นต้องรีบรับลูกกลับบ้านแล้วปล่อยให้เขาได้วิ่งเล่นกับเพื่อนหลังเลิกเรียนบ้าง แต่ถ้าเด็กคนไหนไม่ชอบหรือไม่ได้ทำก็อาจขอร้องคุณครูให้ช่วยผลักดันสักนิดดีกว่าการนั่งเฉย ๆ รอพ่อแม่มารับ
ทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องสนุก
เทคนิคสุดท้ายลองทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องสนุกจนเด็กรู้สึกชอบและอยากทำเป็นประจำ เช่น การเต้นประกอบเพลง การเล่นเกมประเภทเคลื่อนไหวร่างกาย การเล่นเกมสมัยเก่า เช่น มอญซ่อนผ้า แปะแข็ง วิ่งไล่จับ การชวนลูกออกไปเล่นกีฬาที่พ่อแม่เล่นกับเขาได้อย่างพวกแบดมินตัน ปั่นจักรยาน
5 กิจกรรมสำหรับเด็กทั้งสนุก และ ออกกำลังกายไปในตัว
เมื่อรู้วิธีชวนลูกไปขยับร่างกายกันแล้ว หากพ่อแม่คนไหนยังไม่รู้ว่าจะทำกิจกรรมอะไรกับลูกดี จะขอแนะนำให้รู้จักกับ 5 กิจกรรมสำหรับเด็ก การันตีความสนุก บอกลาปัญหาเด็กติดมือถือแล้วไปเคลื่อนไหวเสมือนได้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีกันเลย
1. เกมวิ่งไล่จับ / เกมแปะแข็ง
สุดยอดเกมคลาสสิกตลอดกาลไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัยก็ยังสามารถใช้เป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก ๆ ได้ตลอด อุปกรณ์ที่ใช้ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเลย ขอแค่มีเพื่อน ๆ ร่วมเล่นด้วยประมาณ 3-4 คนขึ้นไป พร้อมพื้นที่ลานกว้าง ไม่มีรถวิ่งผ่าน ไม่เป็นหลุมบ่อหรือพื้นที่ทำให้เกิดอันตราย จากนั้นก็ให้เด็ก ๆ โอน้อยออก ใครแตกต่างจากเพื่อนจะต้องเป็นคนวิ่งไล่จับ หากจับใครได้อีกคนก็ต้องมาเป็นแทน หรือถ้าเล่นเกมแปะแข็ง หากคนที่ไล่แปะคนอื่นได้คนอื่นก็ต้องตัวแข็งจนกว่าจะมีเพื่อนมาแปะช่วย หากเด็กฝ่ายที่ไล่จับแปะทุกคนจนแข็งถือเป็นผู้ชนะและคนโดนแปะคนแรกต้องสลับฝั่งมาเป็นผู้ไล่แทน รับรองเล่นเกมนี้เด็กได้วิ่งกันจนเหนื่อยแน่ ๆ
2. เกมไฟเขียวไฟแดง
กิจกรรมสำหรับเด็กต่อมาที่อยากแนะนำเป็นเกมเล่นง่าย ๆ อีกเช่นเคย คุณครูสามารถนำไปใช้กับเด็กนักเรียนได้ หรือพ่อแม่อยากเล่นกับลูกก็ไม่มีปัญหา อุปกรณ์ที่ใช้จะใช้ห่วงหรือป้ายก็ได้โดยแบ่งเป็นสีแดงและสีเขียว อย่างน้อยควรมีผู้เล่น 4-5 คน ขึ้นไป เมื่อเริ่มเกมพ่อแม่ยกห่วงสีเขียวหมายถึงให้เคลื่อนที่ได้ เด็ก ๆ ก็วิ่งไปมาอย่างสนุกสนานในห้องผ่านไปสักพักให้เปลี่ยนเป็นหยุดห่วงสีแดง หมายถึงสัญญาณให้เด็ก ๆ หยุดนิ่งอยู่กับที่ ใครขยับก่อนต้องออกจากเกม ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนได้ผู้ชนะคนสุดท้ายแล้วอาจมอบรางวัลให้ในแต่ละรอบ นอกจากได้ออกกำลังกายยังฝึกสมาธิ ฝึกการเรียนรู้แยกสีจราจรด้วย รับรองเด็กทุกคนอยากเล่นแน่นอน
3. เกมบอลลูนโป้ง
อีกกิจกรรมสำหรับเด็กสุดคลาสสิกที่ยุคพ่อแม่ก็เคยเล่นกันมาก่อน ลองให้ลูกชวนเพื่อน ๆ หรือคุณครูให้เด็กเล่นกันก็ได้ สิ่งที่ต้องมีคือชอล์กวาดกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วขีดเส้นเป็นพื้นที่ประมาณ 3-4 เส้น หรือตามจำนวนเด็กที่แบ่งข้างกัน (รวมเส้นกรอบ) จากนั้นเด็กแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายแบบเท่ากัน ฝ่ายป้องกันต้องไปยืนบนเส้นตำแหน่งของตนเอง 1 เส้น ต่อ 1 คน ส่วนฝ่ายรุกต้องเริ่มจากการยืนในช่องกรอบแรก วิธีคือฝ่ายรุกต้องหาวิธีผ่านฝ่ายป้องกันไปทีละเส้นจนถึงเส้นสุดท้ายแล้วพูดว่า บอลลูนโป้ง หากฝ่ายรุกโดนฝ่ายป้องกันแตะตัวก่อนต้องออกจากเกม รวมถึงฝ่ายรุกที่วิ่งเลยออกนอกเส้นข้างก็ถือว่าแพ้เช่นกัน หลังจบเกมก็สลับฝั่งกันเป็นฝ่ายรุกและป้องกัน
4. เกมกระต่ายขาเดียว
กิจกรรมสุดคลาสสิกที่รับรองว่าได้ทั้งความสนุกและออกกำลังกายในเวลาเดียวกันอย่างแน่นอน หลักการก็ไม่ซับซ้อนให้ใช้ชอล์กขีดเส้นเป็นวงกลมหรือสี่เหลี่ยมเพื่อกำหนดพื้นที่ จากนั้นเด็ก ๆ ก็โอน้อยออก ใครต่างจากเพื่อนจะต้องเป็นกระต่ายโดยการยืนขาวเดียวแล้วกระโดดไปไล่แปะคนอื่น ๆ ส่วนเด็กที่ต้องหนีมีข้อแม้ว่าถ้าโดนกระตายแตะตัวหรือวิ่งหลุดออกจากนอกกรอบจะต้องเปลี่ยนมาเป็นกระต่ายทันที การละเล่นแบบง่าย ๆ แต่รับรองว่าลูกได้สนุกแบบจัดเต็ม พ่อแม่หรือคุณครูสามารถนำไปใช้ได้เลย แนะนำให้ชวนเด็กมาเล่นอย่างน้อย 4-5 คน
5. เกมวิ่งเปี้ยว
กิจกรรมสำหรับเด็กอย่างสุดท้ายที่อยากแนะนำรับรองความสนุกและน่าตื่นเต้น อุปกรณ์ให้มีผ้าเช็ดหน้า 2 ผืน ผืนละสี จากนั้นใช้กรวยไปวางตั้งเป็นหลัก 2 ฝั่ง ห่างกันประมาณ 20-30 เมตร แบ่งเด็กออกเป็นฝ่ายเท่า ๆ กัน มีกรรมการ 1 คน ยืนถือผ้าอยู่ระหว่างกลางของกรวยทั้ง 2 ฝั่ง เด็กทุกคนยืนหลังกรวย เมื่อกรรมการให้สัญญาณเด็กคนแรกวิ่งมาหยิบผ้าตามแนวตรงแล้ววิ่งอ้อมกรวยอีกฝั่งเพื่อไล่ตีเพื่อนฝั่งตรงข้าม หากวิ่งมาถึงฝั่งตนเองก็ยื่นผ้าให้กับคนถัดไปวิ่งไล่ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หากฝ่ายไหนใช้ผ้าสัมผัสกับฝ่ายตรงข้ามได้ก่อนก็เป็นผู้ชนะไปเลย
บทสรุป
จริง ๆ แล้วกิจกรรมสำหรับเด็กเพื่อให้พวกเขาได้ออกกำลังกาย เคลื่อนไหวร่างกายมีเยอะมาก โดยเฉพาะการละเล่นในอดีตที่ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน พ่อแม่อาจเริ่มต้นด้วยการชวนลูกพร้อมเด็ก ๆ วัยเดียวกันใกล้บ้านมาทำกิจกรรม หรือจะฝากให้คุณครูชวนเด็ก ๆ เล่นหลังเลิกเรียนระหว่างพ่อแม่กำลังไปรับกลับบ้านก็ได้เช่นกัน ส่วนวันไหนถ้าเพื่อนไม่ว่างก็ลองหากิจกรรมอื่นที่พ่อแม่สามารถทำร่วมกับลูกได้ เช่น การตีแบดมินตัน เตะบอล ปั่นจักรยาน นอกจากช่วยลดปัญหาเด็กติดมือถือ ยังทำให้พวกเขามีสุขภาพที่ดีอีกด้วย