ฝุ่น PM2.5 ผลเสียต่อสุขภาพของคนไทยที่ยังทวีความรุนแรงไม่หยุด

แม้ปัญหาของฝุ่น PM2.5 จะเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน แต่ปัจจุบันเมื่อเข้าสู่ปี 2567 ความน่ากังวลของมลพิษร้ายตัวนี้ยังไม่หมดลง ในทางตรงข้ามยังทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ สังเกตได้จากข่าวคราวต่าง ๆ ซึ่งต้องยอมรับว่าส่งผลเสียต่อสุขภาพของคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากการเรียนรู้วิธีป้องกันที่ถูกต้องแล้ว ทุกคนยังสามารถลดภาระเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเมื่อต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลด้วยการมีประกันสุขภาพสักฉบับทั้งของผู้ใหญ่และประกันสุขภาพเด็กสำหรับลูกน้อย

ทำความรู้จักกับฝุ่น PM2.5 ตัวการร้ายทำลายสุขภาพ

แม้ทุกคนอาจคุ้นเคยกับชื่อของเจ้าฝุ่นตัวนี้ดีอยู่แล้ว แต่ก็ขอย้ำเตือนข้อมูลในเรื่องนี้กันอีกสักเล็กน้อยเพื่อให้เข้าใจถึงความอันตราย ฝุ่น PM2.5 คือ ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (Particulate Matter 2.5 – PM2.5) จึงมองไม่เห็นด้วยสายตาเปล่า และด้วยขนาดที่เล็กจิ๋วจึงสามารถหลุดรอดการคัดกรองจากขนบริเวณโพรงจมูกและเยื่อเมือกเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจปริมาณมาก

บวกกับฝุ่นเหล่านี้มีส่วนประกอบของสารอันตราย อาทิ ซัลเฟต ไนเตรต แอมโมเนีย ซึ่งเป็นสารประกอบอนินทรีย์ สารประกอบอินทรีย์ กลุ่มสารโลหะหนัก เช่น แคดเมียม ทองแดง สังกะสี ไปจนถึงสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons, PAHs) จึงส่งผลเสียโดยตรงต่อสุขภาพเมื่อต้องสูดดมหายใจเข้าไปเป็นประจำ

สาเหตุของการเกิดฝุ่น PM2.5

จริง ๆ แล้วฝุ่น PM2.5 มีอยู่ในอากาศที่ทุกคนหายใจเข้าไปมานานแสนนานมากแล้ว ซึ่งปกติมักพบบ่อยช่วงกำลังเปลี่ยนฤดูกาล สาเหตุดั้งเดิมคือระดับความกดอากาศสูงแผ่ลงมาบริเวณตอนบนของประเทศไทย ลมมรสุมจึงอ่อนตัวลงกลายเป็นช่วงลมสงบ อากาศปิด เมื่อบวกกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปแบบฉับพลันฝุ่นชนิดนี้จึงกระจุกตัวและมีการสะสมอยู่พอสมควร

แต่ในปัจจุบันไม่ใช่แค่ปัจจัยที่เกิดตามธรรมชาติ ฝุ่น PM2.5 ยังมีสาเหตุหลักจากการใช้ชีวิตของมนุษย์ที่มักผลิตสารพิษเข้าสู่อากาศไม่เว้นแต่ละวัน เช่น ควันจากท่อไอเสีย การเผาป่า เผาหญ้า การเผาไม้ทำครัว การสูบบุหรี่ ควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม การใช้เครื่องถ่ายเอกสาร การทำอาหารที่มีควันเยอะ เช่น ปิ้ง ทอด ย่าง การจุดธูป-เทียน เป็นต้น เมื่อทุกอย่างมารวมตัวกันในปริมาณมากเข้า ฝุ่นตัวนี้จึงเกิดขึ้นแบบต่อเนื่องและยังไม่มีทีท่าจะเบาบางลง

ฝุ่น PM2.5

ติดตาม ข่าวสาร และ โปรโมชั่นต่างๆ

เข้าปี 2567 แนวโน้มฝุ่น PM2.5 จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น 

หากประเมินจากสถิติใกล้ตัวมากที่สุด ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2566 ประเทศไทยเริ่มกลับมาพบกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสาเหตุหลักก็ยังมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ เช่น การจราจรขนส่ง การเกษตร โรงงานอุตสาหกรรม ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2567 ที่เหล่านักวิเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญด้านฝุ่นละอองทั้งหลายต่างวิเคราะห์ตรงกันว่า อัตราความรุนแรงของ PM2.5 ในเมืองไทยจะเพิ่มขึ้นไปอีก  

โดยปัจจัยสำคัญเนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ (สภาพอากาศแปรปรวนผิดปกติ) ปริมาณฝนน้อยลงกว่า หลายพื้นที่แห้งแล้งและมีสิทธิ์เกิดไฟป่าง่ายขึ้น อีกทั้งสาเหตุตามธรรมชาติที่อธิบายเอาไว้ อากาศปิด ลมสงบ ฝุ่นละอองนี้จึงไม่ฟุ้งกระจายและปกคลุมเป็นกระจุกโดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล 

ผลกระทบของฝุ่น PM2.5 ที่มีต่อทุกวัย 

เมื่อรู้จักกับฝุ่นละอองจิ๋วนี้กันไปแล้วก็มาถึงความอันตรายหรือผลกระทบของฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย หากขาดการป้องกันที่ดี ดังนี้ 

  1. 1. ผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ

ถือเป็นผลกระทบโดยตรงมากที่สุดเมื่อต้องอยู่บริเวณพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองจิ๋วปริมาณมากติดต่อกันนาน ๆ อาการเบื้องต้นที่เกิดขึ้นชัดเจนมักเริ่มจากหายใจไม่สะดวก มีน้ำมูกและเสมหะเยอะ คัดจมูกตลอดเวลา หากเป็นโรคหอบหืดหรือภูมิแพ้ฝุ่นอยู่แล้ว อาการก็มักกำเริบและมีสิทธิ์รุนแรงขึ้น ท้ายที่สุดโอกาสเสี่ยงจะเกิดโรคร้ายแรงอื่นๆ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ถุงลมโป่งพอง หรือมะเร็งปอดก็มีสูงขึ้นตามไปด้วย 

  1. 2. ผลกระทบต่อทางเดินหลอดเลือด

ไม่ใช่แค่ปอดเท่านั้นแต่ฝุ่น PM2.5 ยังก่อให้เกิดการตกตะกอนบริเวณทางเดินหลอดเลือดจนส่งผลกระทบในหลายส่วนต่อระบบร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เส้นเลือดสมองตีบ แตกจากเส้นเลือดแดงแข็งตัว  

ผลกระทบต่อสุขภาพแบบเชิงลึกของคนแต่ละวัย 

นอกจากปัญหาสุขภาพจากการที่ร่างกายได้รับฝุ่น PM2.5 ติดต่อกันเป็นเวลานานตามที่อธิบายไปแล้ว หากเจาะลึกกลุ่มคนที่สุ่มเสี่ยงจะเกิดผลกระทบรุนแรงก็ยังสามารถแยกออกได้ นั่นบ่งบอกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องอยู่บริเวณที่มีฝุ่นละอองจิ๋วเยอะควรหลีกเลี่ยงหรือป้องกันให้ดีที่สุด 

  1. 1. ผลกระทบต่อเด็ก

ยิ่งเด็กอายุน้อยมากเท่าไหร่พวกเขามักมีความเสี่ยงต่ออันตรายเมื่อได้รับฝุ่นพิษเข้าสู่ร่างกายมากขึ้นเท่านั้น เหตุผลสำคัญมาจากระบบภูมิคุ้มกันยังไม่ดีพอเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ นอกจากเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กเกิดโรคหอบหืด โรคภูมิแพ้แล้ว ยังมีผลโดยตรงต่อการพัฒนาด้านสติปัญญา สมอง การพัฒนาทางร่างกาย ซึ่งไม่ใช่แค่เด็กเล็กเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทารกที่กำลังอยู่ในครรภ์มารดาด้วย หากแม่รับ PM2.5 ย่อมเสี่ยงที่ลูกคลอดออกมาแล้วจะเติบโตช้ากว่าปกติ หรือร้ายแรงที่สุดอาจถึงขั้นแท้งลูก และเพิ่มอัตราทารกเสียชีวิตในครรภ์ด้วย 

  1. 2. ผลกระทบต่อผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ

ในระยะยาวเมื่อยังต้องทนอยู่กับ PM2.5 ตลอด ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ตามที่ระบุเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งปอด ปอดอักเสบเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจวายเฉียบพลัน เส้นเลือดในสมองตีบ – แตก มีสูงมาก ยิ่งถ้าเป็นคนมีโรคประจำตัวด้านระบบทางเดินหายใจอยู่แล้ว เช่น โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ อาการของโรคจะแสดงออกบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ  

ฝุ่น PM2.5

วิธีป้องกันฝุ่น PM2.5 ให้ส่งผลกระทบน้อยที่สุด

การรู้จักกับวิธีรับมือปัญหาต่าง ๆ ย่อมช่วยผ่อนหนักให้เบาลง ซึ่งก็รวมถึงหากคุณรู้วิธีป้องกันฝุ่น PM2.5 ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย หรือได้รับปริมาณน้อยที่สุดก็ย่อมลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ด้วย โดยคำแนะนำที่อยากบอกต่อมีดังนี้

  1. 1. หน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น

ข้อนี้คือวิธีตรงตัวและทำได้ง่ายมากที่สุด เมื่อรู้ว่าต้องออกไปพื้นที่กลางแจ้งมี PM2.5 เยอะ หรือแม้แต่อยู่บริเวณร่มที่ใดก็ตามควรสวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นเอาไว้เสมอ ซึ่งหน้ากากที่ดีแนะนำเป็น หน้ากาก N95 เพราะสามารถกรองฝุ่นความละเอียดสูงได้ถึง 95% หรือจะเป็นหน้ากาก N99 ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก อีกสิ่งสำคัญต้องสวมอย่างถูกวิธีและทิ้งทันทีหลังใช้งานเสร็จ ไม่นำมาใส่ซ้ำ 

  1. 2. ปิดประตู-หน้าต่างไม่ให้ฝุ่นเข้ามาด้านใน

กรณีที่คุณอยู่ในบ้าน ออฟฟิศ โรงงาน หรือที่ใดก็ตามแล้วภายนอกมีฝุ่นจิ๋วเยอะมาก แนะนำปิดประตู-หน้าต่าง เพื่อป้องกันฝุ่นไม่ให้เข้ามาภายใน อาจเปิดระบบระบายอากาศและเครื่องฟอกอากาศช่วยเพื่อลดความอึดอัดลงก็จะดีมาก 

  1. 3. เช็กค่าฝุ่นละอองก่อนเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ

ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่สามารถเช็กค่าฝุ่นละอองได้ หากคุณต้องเดินทางไปยังพื้นที่สุ่มเสี่ยงกับการมีปริมาณฝุ่นเยอะ ๆ แนะนำให้เช็กข้อมูลอย่างละเอียด จากนั้นก็เตรียมหน้ากากป้องกันและวางแผนให้ดี ไม่ออกพื้นที่กลางแจ้งมากเกินไป 

ประกันสุขภาพทั้งผู้ใหญ่และเด็ก อีกตัวช่วยของการใส่ใจสุขภาพ 

อย่างไรก็ตามแม้ทุกคนจะพยายามดูแลตัวเองอย่างดีเพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วยที่มีสาเหตุจากฝุ่น PM2.5 แต่บ่อยครั้งอาการของโรคต่าง ๆ ก็ยังอาจเกิดขึ้นได้ วิธีในการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเมื่อต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดจึงหนีไม่พ้นการซื้อ “ประกันสุขภาพ” ทั้งของผู้ใหญ่และประกันสุขภาพเด็ก เพราะการรักษาตัวแต่ละครั้งมีจำนวนเงินไม่ใช่น้อย ๆ การซื้อประกันเริ่มต้นหลักพันหรือหลักหมื่น แต่มีวงเงินครอบคลุมหลักแสน หลักล้าน ยังไงก็ตอบโจทย์กว่า ยิ่งทุกวันนี้ในเมืองไทยของเราแทบต้องพบเจอกับ PM2.5 ทุกพื้นที่ด้วยแล้ว อย่าประมาทแล้วสร้างความปลอดภัยเบื้องต้นด้านสุขภาพทางการเงินเมื่อต้องเข้ารักษาตัวจะดีที่สุด 

นอนอย่างไรไม่ให้ปวดคอ

เนื้อหาบทความนี้ นำเสนอโดย Bangkok Physio Center (BPC)

อาการปวดคออาจเป็นภาวะที่สร้างความรำคาญและทำให้การใช้ชีวิตประจำวันลำบากได้ โดยมีปัญหาการนอนหลับเป็นปัจจัยที่ทำให้อาการแย่ลง การนอนในท่าที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากช่วยบรรเทาอาการตึงบริเวณคอและช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น บทความนี้จะเจาะลึกถึงท่านอนที่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดคอ การทำความเข้าใจวิธีจัดแนวกระดูกสันหลังและรองรับคอที่ถูกต้องตลอดทั้งคืนจะทำให้คุณตื่นขึ้นมารู้สึกสดชื่นและไม่ปวดคอ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนนอนตะแคง นอนหงาย หรือคนที่พลิกตัวบ่อยๆ การหาท่านอนที่เหมาะก็ไม่ใช่เรื่องยาก

นอนอย่างไรไม่ให้ปวดคอ

ทำไมตื่นนอนแล้วรู้สึกปวดคอ

อาการปวดคอหลังตื่นนอนเป็นปัญหาที่พบโดยทั่วไปซึ่งมักมีสาเหตุมาจากท่าทางการนอนหลับที่ไม่ดี หมอนที่ไม่รองรับสรีระร่างกาย หรือผลข้างเคียงจากปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคข้ออักเสบ การทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงและหาวิธีแก้ไขอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะป้องกันอาการปวดคอและทำให้นอนหลับสบายได้ตลอดทั้งคืน

อาการปวดคออย่างรุนแรงหลังตื่นนอน

อาการปวดคออย่างรุนแรงหลังตื่นนอนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก อาการดังกล่าวอาจเป็นผลมาจากความเครียดสะสม เตียงหรือที่นอนที่ไม่ดี หรือการบาดเจ็บเฉียบพลัน แต่หากรู้วิธีบรรเทาอาการที่ถูกต้องและสามารถทำได้ทันทีหลังเกิดอาการปวด จะช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วและป้องกันไม่ให้กลับมาปวดอีกได้

นอนอย่างไรเมื่อคอเคล็ด

หากมีอาการคอเคล็ด ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการนอนหลับเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้บาดเจ็บเพิ่ม การนอนหลับในท่าที่ถูกต้องและการปรับพฤติกรรมการนอนที่ช่วยรองรับคอ ทำให้นอนหลับได้อย่างสบายและช่วยบรรเทาอาการได้อย่างดี

จัดหมอนในตำแหน่งที่ถูกต้องลดอาการปวดคอ

การจัดหมอนให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยบรรเทาอาการปวดคอ ควรใช้หมอนที่รองรับคอให้อยู่ในระนาบเดียวกับกระดูกสันหลัง ช่วยป้องกันการอักเสบและอาการปวดตึงบริเวณกล้ามเนื้อคอ และควรเลือกหมอนที่รองรับส่วนโค้งตามสรีระของคอ

นอนอย่างไรไม่ให้ปวดคอ

ติดตาม ข่าวสาร และ โปรโมชั่นต่างๆ

รักษาอาการคอเคล็ด

คอเคล็ดอาจเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวกะทันหันหรือนอนผิดท่า วิธีรักษาจึงมักเป็นการพักผ่อน ใช้น้ำแข็งประคบ และการยืดกล้ามเนื้อเบาๆ แต่อย่างไรก็ตาม หากอาการรุนแรง ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

วิธีรักษากล้ามเนื้อคออักเสบ

กล้ามเนื้อคออักเสบ คืออาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับเอ็นและกล้ามเนื้อที่รองรับคอ ขั้นตอนรักษาโดยทั่วไปคือการพักผ่อน การรักษาด้วยความเย็น การประคบ และการยกตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บให้สูงกว่าระดับหัวใจ ในบางกรณี อาจแนะนำให้ทำกายภาพบำบัดร่วมด้วย

ทางเลือกในการรักษาอาการคอเคล็ด

การรักษาอาการคอเคล็ดมีหลากหลายวิธี ตั้งแต่ดูแลรักษาด้วยตัวเองที่บ้าน ไปจนถึงรับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซื้อยาแก้ปวดมากินเอง การประคบร้อน และการนวด สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ทันที ในขณะที่การทำกายภาพบำบัดอาจส่งผลดีต่อการฟื้นตัวในระยะยาว

สาเหตุและวิธีแก้อาการปวดคอหลังตื่นนอน

การตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดคอ เป็นสัญญาณว่าคุณอาจจะต้องปรับนิสัยการนอนเสียใหม่ รวมทั้งหาสาเหตุของอาการปวดคอ ไม่ว่าจะเกิดจากหมอน ที่นอน หรือท่านอนที่ไม่ถูกต้อง เพื่อจะได้หาวิธีแก้ที่เหมาะสม และป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้อีก

ปวดคอต้องนอนอย่างไร

เมื่อมีอาการปวดคอ การหาท่านอนที่เหมาะสมอาจไม่ใช่เรื่องง่าย ท่าที่แนะนำโดยทั่วไปคือการนอนหงายหรือนอนตะแคงโดยมีหมอนรองรับ รวมไปถึงเทคนิคอื่นๆ อย่างการหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ และใช้อุปกรณ์ช่วยเพิ่มเติม เช่น ม้วนผ้าเช็ดตัววางไว้ใต้คอ

ที่นอนช่วยลดอาการปวดคอ

ที่นอนที่เหมาะสมช่วยลดอาการปวดคอได้มาก โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้ที่นอนเนื้อแน่นปานกลางที่รองรับส่วนโค้งตามสรีระของกระดูกสันหลังได้ดี ลองใช้ที่นอนหลายๆ แบบ และขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาที่นอนที่ตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด

ท่านอนป้องกันอาการปวดคอ 

ท่านอนที่เหมาะสม ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันอาการปวดคอ แต่ยังส่งผลดีต่อกล้ามเนื้อและกระดูก รวมถึงการจัดท่าทางขณะนั่ง ยืน และนอนหลับให้ถูกต้อง การฝึกให้มีท่าทางที่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา สามารถช่วยลดอาการเกร็งและปวดตึงของกล้ามเนื้อคอ และป้องกันอาการปวดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

จัดสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับการนอนหลับ

สภาพแวดล้อมที่ดีต่อการนอนหลับตามหลักสรีระศาสตร์ เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและบรรเทาอาการปวดคอ ซึ่งรวมถึงการลงทุนซื้อหมอนและที่นอนที่เหมาะกับสรีระ การจัดที่นอนที่ทำให้กระดูกสันหลังอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง และกำจัดสิ่งรบกวนที่ทำให้นอนไม่หลับ การรักษาอุณหภูมิ ระดับเสียง และแสงสว่างให้เหมาะสมสำหรับการนอนยังช่วยให้คออยู่ในท่าที่ถูกต้องตลอดทั้งคืนอีกด้วย

ออกกำลังกายลดอาการปวดคอ

การออกกำลังกายเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรงและป้องกันอาการปวด กิจกรรมที่เสริมสร้างความแข็งแรงของแกนกลางและร่างกายส่วนบน เพิ่มความยืดหยุ่น และส่งเสริมสมรรถภาพโดยรวมก็ส่งผลดีต่อกล้ามเนื้อบริเวณคอเช่นกัน เช่น โยคะและพิลาทิส ช่วยสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นได้ดี ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมร่างกาย ซึ่งส่งผลให้มีท่าทางการนอนหลับที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือให้บริการด้านสุขภาพก่อนที่จะเปลี่ยนแผนการออกกำลังกาย โดยเฉพาะผู้ที่ยังมีอาการปวดคอ

หาสมดุลที่เหมาะสม

การหาท่านอนที่ดีที่สุดสำหรับอาการปวดคอ คือการหาสมดุลระหว่างการรองรับและการจัดท่าทางที่เหมาะสม การรับฟังความต้องการของร่างกาย และการปรับเปลี่ยน ด้วยการทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ของอาการปวดคอ เพื่อเลือกใช้แนวทางป้องกันและบรรเทาอาการที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้คุณมีสุขภาพการนอนที่ดีขึ้นได้ ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่น ไม่มีอาการปวด และอย่าลืมปรึกษาแพทย์หรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพหากอาการปวดคอไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์! 

 

ความแตกต่างระหว่างโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

เนื้อหาบทความนี้ นำเสนอโดย Bangkok Physio Center (BPC)

โรคข้ออักเสบเป็นคำอธิบายลักษณะความผิดปกติที่เกิดกับข้อต่อส่วนต่างๆ โดยประเภทของโรคข้ออักเสบที่พบได้บ่อยได้แก่โรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ แม้ว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับข้อต่อเหมือนกัน แต่สาเหตุ ความรุนแรง และการรักษานั้นแตกต่างกัน

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ 

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เมื่อภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง 

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติไปจากเดิม โดยการทำลายเซลล์เยื่อหุ้มข้อต่อ ซึ่งเป็นเยื่อบุของเยื่อหุ้มรอบข้อต่อ สาเหตุที่แท้จริงของการที่ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อร่างกายตนเองยังไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยด้านพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมร่วมกัน

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด (RA Factor) 

การตรวจวินิจฉัยอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์คือการตรวจหาสารรูมาตอยด์ (RF) ในเลือด RF เป็นแอนติบอดีที่ระบบภูมิคุ้มกันผลิตขึ้นเพื่อทำลายเนื้อเยื้อที่มีสุขภาพดี ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบและความเสียหายของข้อต่อ แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นโรค RA จะมีระดับ RF สูง แต่การตรวจพบสารดังกล่าวก็เป็นเกณฑ์อย่างหนึ่งในการวินิจฉัยได้

โรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

ความแตกต่างระหว่างโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

โรคข้อเสื่อม vs.โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ที่มาและกลไกลการเกิดโรค

โรคข้อเสื่อม (OA) และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ไม่ได้มีแค่ปัจจัยกระตุ้นที่แตกต่าง แต่กลไกพื้นฐานในการเกิดโรคก็ต่างกันด้วย โรคข้อเสื่อมเป็นโรคที่เกี่ยวกับความเสื่อมของข้อต่อต่างๆ ในร่างกายเป็นหลัก เนื่องจากความชราและการสึกหรอของข้อต่อ เกิดขึ้นเมื่อกระดูกอ่อนป้องกันที่หุ้มปลายกระดูกมีการเสื่อมเมื่ออายุเยอะขึ้น ทำให้เกิดอาการปวด บวม และเคลื่อนไหวข้อต่อได้ยาก

ในขณะที่โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นภาวะภูมิต้านตนเอง เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำร้ายเยื่อหุ้มข้อต่อเสียเอง ส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่อาจนำไปสู่ความเสียหายและความผิดปกติของข้อต่อเมื่อเวลาผ่านไป โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์แตกต่างจากโรคข้อเสื่อมตรงที่เกิดกับคนได้ทุกวัย ไม่ใช่แค่เฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น

อาการและข้อต่อที่ได้รับผลกระทบ

บางครั้งอาการของโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อาจคล้ายคลึงกันและสร้างความสับสนได้ ทั้งสองภาวะนี้ทำให้เกิดอาการปวดข้อ บวม และตึง อย่างไรก็ตาม รูปแบบและตำแหน่งของข้อต่อที่มีอาการช่วยแยกแยะความแตกต่างระหว่างทั้งสองโรคได้ โรคข้อเสื่อมมักส่งผลต่อข้อต่อที่รับน้ำหนัก เช่น หัวเข่า สะโพก และกระดูกสันหลัง ในขณะที่โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มักเกี่ยวข้องกับข้อต่อทั้งสองด้านของร่างกาย เช่น ข้อมือ เข่า และนิ้ว

อะไรร้ายแรงกว่ากันระหว่างโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์?

การประเมินความรุนแรงของโรค 

ความรุนแรงของโรคข้อเสื่อมกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ก็เป็นอีกสิ่งที่ควรพิจารณา โรคเข่าเสื่อม เป็นภาวะที่เกิดจากส่วนของร่างกายค่อยๆ สึกหรอ หลังจากใช้งานไปนานๆ หรืออายุมากขึ้น ทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมาก รวมถึงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและคุณภาพชีวิตโดยรวม แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามระบบต่างๆ ของร่างกาย

ในทางกลับกัน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างต่อระบบอื่นๆ ในร่างกาย หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อาจทำให้เกิดความผิดปกติของข้อต่อ ความพิการ หรือแม้แต่ภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจและปอด ดังนั้นในแง่ของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นและผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์จึงมักถือว่าร้ายแรงกว่า

โรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

มีโอกาสเป็นทั้งโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้หรือไม่?

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่เป็นร่วมกัน 

แม้ว่าจะพบไม่บ่อย แต่คนหนึ่งสามารถเป็นทั้งโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์พร้อมกันได้ เรียกภาวะเช่นนี้ว่าโรคข้ออักเสบร่วม การเป็นโรคข้ออักเสบประเภทหนึ่งอยู่แล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสเป็นอีกประเภทหนึ่ง การรักษาโรคข้ออักเสบทั้งสองประเภทไปพร้อมๆ กันก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายและพบได้ไม่บ่อย

การรักษาโรคข้ออักเสบร่วมมักใช้แนวทางสหสาขาวิชาชีพ รวมถึงการกินยาบรรเทาอาการอักเสบ ความเจ็บปวด และลดการลุกลามของโรค นอกจากนี้ การทำกายภาพบำบัดและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตยังส่งผลอย่างมากในการช่วยให้ข้อต่อทำงานได้ดีขึ้นและส่งเสริมสุขภาพร่างกายโดยรวม

การรักษาโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

แนวทางการรักษาโรคข้อเสื่อม 

การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมมักใช้แนวทางรักษาแบบใช้ยาและไม่ใช้ยาร่วมกัน แพทย์อาจสั่งยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพื่อบรรเทาอาการปวดและการอักเสบ ควบคู่ไปกับการทำกายภาพบำบัด การควบคุมน้ำหนัก และดูแลรักษาข้อต่อ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคข้อเสื่อม

แนวทางที่ซับซ้อนขึ้นในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ 

การรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มีความซับซ้อนมากขึ้นเนื่องจากเป็นการจัดการกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยาต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคสำหรับผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (DMARDs) เช่น ยา Methotrexate มักใช้เพื่อระงับการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันและชะลอการลุกลามของโรค ยาชีววัตถุ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งในระบบภูมิคุ้มกัน ได้ปฏิวัติแนวทางการรักษาโรครูมาตอยด์ ทำให้รักษาได้ตรงจุดกว่าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต 

การปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตประจำช่วยในการรักษาโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้มาก การออกกำลังกายที่ปรับให้เหมาะกับสภาพของแต่ละบุคคลช่วยรักษาความยืดหยุ่นของข้อต่อและลดความตึง การรับประทานอาหารที่สมดุลและการควบคุมน้ำหนักมีความสำคัญอย่างมากในการลดภาระของข้อต่อที่ต้องรับน้ำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม

ความสำคัญของการตรวจรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ  

การวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งในโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ การสังเกตุและตรวจพบอาการต่างๆ อย่างทันท่วงที ช่วยป้องกันความเสียหายของข้อต่อและส่งผลดีต่อการรักษาในระยะยาว การพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ กินยาตามที่แพทย์สั่ง และการสื่อสารอย่างต่อเนื่องกับผู้ให้บริการด้านการแพทย์เป็นองค์ประกอบสำคัญในการจัดการกับอาการเรื้อรังเหล่านี้

สรุป 

การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการวินิจฉัยที่แม่นยำและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ แม้โรคข้อเสื่อมจะเป็นภาวะความเสื่อมที่เกิดจากความชราเป็นหลัก แต่สำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคภูมิต้านตนเองที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบอื่นๆ ในร่างกายได้ โดยความรุนแรงของอาการเหล่านี้แตกต่างกันไป แต่โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มักถือว่าร้ายแรงกว่าเนื่องจากอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อระบบอื่นๆ ในร่างกายได้ รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่บุคคลหนึ่งจะเป็นโรคข้ออักเสบทั้งสองประเภทพร้อมกัน เป็นการตอกย้ำถึงความซับซ้อนที่มากขึ้นในการจัดการกับโรคข้ออักเสบ

ติดตาม ข่าวสาร และ โปรโมชั่นต่างๆ