5 ข้อห้ามลืม เตรียมตัวไปเกาหลี ลุยเที่ยวทริปนี้ให้หายคิดถึง!

“เกาหลีใต้” ดินแดนแห่งอปป้า นู่า ที่เหล่าบรรดานักท่องเที่ยวชาวไทยอยากไปสัมผัสทั้งการตามรอยซีรี่ย์ ตะลุยหาของกินแสนอร่อย รวมถึงยังสัมผัสกับสถาปัตยกรรมสถานที่ต่าง ๆ อันบ่งบอกถึงประวัติศาสตร์ได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งการจะไปเที่ยวเกาหลีแม้ไม่ต้องมีวีซ่า ไม่ต้องปรับตัวมาก (เวลาเร็วกว่าไทยแค่ 2 ชม.) แต่ก็ยังมีสิ่งที่ทุกคนต้องทำให้ถูกหลักเพื่อไม่ต้องกังวลในการโดน ตม. ฝั่งนั้นส่งกลับไทยทั้งที่ยังไม่ได้ออกจากสนามบินด้วยซ้ำ แล้วการเตรียมตัวไปเกาหลี มีอะไรบ้าง นี่คือ 5 ข้อห้ามลืมเด็ดขาด! 

  1. 1. ต้องลงทะเบียน K-ETA ก่อนซื้อตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเดินทางไปเที่ยวเกาหลีใต้ต้องมีการลงทะเบียน K-ETA หรือ Korea Electronic Travel Authorization ระบบอนุมัติสำหรับการเดินทางผ่านออนไลน์ภายใต้วัตถุประสงค์การท่องเที่ยว เยี่ยมชม เข้าร่วมกิจกรรม ประชุม ยกเว้นมาเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งขั้นตอนลงทะเบียน K-ETA ทำตามได้ดังนี้เลย 

  • คลิกเข้าไปหน้าเว็บไซต์ https://www.k-eta.go.kr/portal/apply/index.do หรือใครจะดาวน์โหลดและทำผ่านแอปบนมือถือก็ได้ทั้งระบบ iOS และ Android 
  • ตอบคำถามและกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนเป็นภาษาอังกฤษ เช่น เลือกทวีป เลือกประเทศ กรอกชื่อ-สกุล อีเมล หนังสือเดินทาง  
  • ทำการตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วน 
  • ชำระค่าธรรมเนียม 10,000 KRW (ประมาณ 280 บาท) ไม่รวมค่าธรรมเนียมอื่น 
  • จะได้รับอีเมลฉบับแรกเพื่อยืนยันการลงทะเบียน และถ้าผ่านจะมีอีเมลอีกฉบับระบุว่า approved หรือมีรายละเอียดเอกสารครบถ้วน 

เมื่อลงทะเบียนผ่านแล้วจึงค่อยดำเนินการจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม โดยสามารถพำนักอาศัยในเกาหลีใต้ได้ไม่เกิน 90 วัน / ครั้ง ตลอดระยะเวลา 2 ปี  ปกติจะใช้เวลาอนุมัติไม่เกิน 72 ชม. สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ทั้งนี้เอกสารที่ต้องเตรียมประกอบด้วย 

  • หนังสือเดินทาง (Passport) ฉบับปัจจุบัน มีอายุเหลือเกิน 6 เดือน  
  • ไฟล์ภาพถ่ายสีหน้าตรงไม่สวมหมวก แว่นตาดำ ปกคลุมใบหน้า ขนาดไม่เกิน 700 x 700 พิกเซล ขนาดไฟล์ไม่เกิน 100 KB  
  • บัตรเครดิตเพื่อชำระค่าธรรมเนียม  
ทริปเกาหลี
  1. 2. เช็กสภาพอากาศให้ชัดเจน

เรื่องต่อมาเป็นการเช็กสภาพอากาศที่เกาหลีให้ชัวร์ว่าในช่วงเวลาที่ตนเองจะเดินทางไปหรือในระหว่างการพำนักอาศัยมีอากาศเป็นอย่างไรเพื่อการเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสม ลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย ซึ่งปกติแล้วฤดูกาลที่เกาหลีจะแบ่งออกเป็น 4 ซีซั่น ได้แก่ 

ฤดูหนาว 

ฤดูหนาวที่เกาหลีเริ่มตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม ไปจนถึงกลางเดือนมีนาคม ซึ่งสภาพอากาศที่เกาหลีช่วงนี้จะเย็นจัดถึงหนาว มีหิมะโปรยปรายลงมาได้ตลอด อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20 ถึงระดับ -5 องศาเซลเซียส ถือเป็นไฮซีซั่นที่คนไทยชอบไปเที่ยวมาก มีกิจกรรมเยอะทั้งเล่นสกี เทศกาลตกปลาน้ำแข็ง ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวและรองเท้าหนา ๆ เพื่อให้ความอบอุ่นตลอดทริป ใครกลัวไม่สบาย เป็นหวัดก็อาจเตรียมยาแก้ปวด ยาลดไข้ติดไปด้วยก็ได้ 

สถานที่เที่ยวเกาหลีฤดูหนาวเกาหลีแนะนำ เช่น The Graden of Morning Calm มีการจัดเทศกาลดูไฟ, อุทยานแห่งชาติแทแบคซาน (Taebaeksan National Park) มีการจัดเทศกาลหิมะ, ฟาร์มแกะแทกวันรยอง (Daegwallyeong Sheep Farm), วัดวอลจองซา (Woljeongsa Temple), เกาะนามิ (Nami Island), เทศกาลตกปลาน้ำแข็ง Hwacheon Sancheoneo Ice Festival, ป่าต้นเบิร์ชวอนแดรี (Wondae-ri Birch Forest) เป็นต้น 

ฤดูใบไม้ผลิ 

ต่อด้วยฤดูใบไม้ผลิที่เกาหลีจะเริ่มตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม ถึงเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาที่อากาศกำลังเย็นสบายมาก อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 6-16 องศาเซลเซียส ดอกไม้ตามสวนสาธารณะ หุบเขาต่างผลิบานสวยงาม ซึ่งคนไทยยังแนะนำให้หาเสื้อคลุมแขนยาวสวมไปด้วยเสมอเพราะสำหรับบ้านเรายังจัดว่าอากาศเย็นจัดใช้ได้เลย 

ที่เที่ยวเกาหลีฤดูใบไม้ผลิจัดว่ามีน่าสนใจอยู่เยอะมาก เช่น อุทยานแห่งชาติซอรัคซาน (Seoraksan National Park), พระราชวังคยองบกกุง (Gyeongbokgung Palace), หมู่บ้านบุกชอนฮันอก (Bukchon Hanok Village), ทางรถไฟดอกซากุระ คยองฮวา Gyeonghwa Station, หมู่บ้านพื้นเมืองซงอึบ (Seongeup Folk Village), ย่านมยองดง หรือ เมียงดง Myeong-dong, อุโมงค์ซากุระ คลองยอชวาชอน (Yeojwacheon Stream) ฯลฯ 

ฤดูร้อน 

ฤดูร้อนที่เกาหลีเริ่มประมาณเดือนมิถุนายนจนถึงช่วงต้นเดือนกันยายน สภาพอากาศบางช่วงร้อนจัดไม่ต่างกับเมืองไทย อุณหภูมิระหว่าง 22-38 องศาเซลเซียส บางช่วงอาจมีพายุเข้าทำให้ฝนตกได้บ้าง แนะนำให้เช็กสภาพอากาศดี ๆ แล้วเตรียมร่ม เสื้อกันฝนติดตัวไว้ด้วย ขณะที่เสื้อผ้าสวมใส่แบบสบาย ๆ ได้เลย 

แม้เป็นช่วงโลว์ซีซั่นแต่ใครได้ตั๋วราคาถูกก็ยังมีที่เที่ยวเกาหลีฤดูร้อนน่าสนใจหลายแห่งมาก เช่น สวนสนุกเอเวอร์แลนด์ (Everland Theme Park), หมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอน (Gamcheon Culture Village), สวนสนุกล็อตเต้ เวิลด์ (Lotte World), โซล ทาวเวอร์ หรือ นัมซาน ทาวเวอร์ (N Seoul Tower), หาดแฮอึนแด Haeundae Beach, เกาะเชจู (Jeju Island), วัดแฮดง ยงกุงซา Haedong Yonggungsa Temple เป็นต้น 

ฤดูใบไม้ร่วง 

ปิดท้ายที่ฤดูใบไม้ร่วงที่เกาหลี หรือบางคนจะเรียกฤดูใบไม้เปลี่ยนสีอยู่ในช่วงปลายเดือนกันยายน – เดือนพฤศจิกายน เป็นอีกซีซั่นที่มีความสวยงามมากดอกไม้เปลี่ยนเป็นสีส้ม เหลือง ทองอร่าม อุณหภูมิสบาย ๆ ราว 10-20 องศาเซลเซียส แต่งตัวสบาย ๆ หรือจะนำเสื้อคลุมแขนยาวติดไปก็ไม่มีปัญหา 

ที่เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีเกาหลีในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถือว่าเยอะและสวยงามแทบทุกแห่งไม่ว่าจะเป็น พระราชวังชางด็อกกุง (Changdeokgung Palace), อุทยานแห่งชาติบุกฮันซาน (Bukhansan National Park), อุทยานแห่งชาติจิริซาน (Jirisan National Park), ถนนเลียบวังถ็อกซูกุง (Deoksugung Palace’s stone wall road), อุทยานแห่งชาติซอรัคซาน (Seoraksan National Park), สะพานแขวนมาจังโฮซู (Majanghosu Bridge), มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา (Ewha Women’s University) ฯลฯ 

ทริปเกาหลี

3. หัวหน้าไกด์ หรือ กรุ๊ปทัวร์ 

สำหรับคนที่เน้นความสะดวก ไม่ต้องยุ่งยากตั้งแต่หาตั๋วเครื่องบิน โรงแรมที่พัก มีโปรแกรมให้พร้อมสรรพตลอดทริป การซื้อทัวร์เกาหลีคือทางเลือกที่ตอบโจทย์มาก แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ควรรู้ในการเตรียมตัวไปเกาหลีนั่นคือ ต้องเปรียบเทียบข้อมูลของแต่ละบริษัทว่าทัวร์ไหนคุ้มค่ากว่า (บริษัทที่น่าเชื่อถือเท่านั้น) เมื่อตัดสินใจจองแล้วพอถึงวันเดินทางจริงหากเจอกับหัวหน้าไกด์ หรือหัวหน้ากรุ๊ปทัวร์ต้องขอช่องทางการติดต่อเอาไว้ก่อนเลยไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรของไทย เบอร์โทรเกาหลี ไลน์ อีเมล เป็นต้น เผื่อมีเหตุฉุกเฉินหรือเรื่องไม่คาดฝันต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนจะได้ติดต่อแบบทันท่วงที 

  1. 4. เงินและอัตราแลกเปลี่ยน

ปัจจัยสำคัญของการเดินทางไปเที่ยวเลยก็ว่าได้ ซึ่งควรแลกเงินไปเกาหลีที่เมืองไทยให้เรียบร้อย เพราะอัตราแลกเปลี่ยนมักถูกกว่าการไปแลกยังต่างแดน สกุลเงินของเกาหลีเรียกว่า โคเรียนวอน (Korean Won) หรือ KRW ค่าเงิน 1 บาท จะอยู่ประมาณ 0.027 วอน  

คำแนะนำเพิ่มเติมคือควรแลกเป็นเงินสดให้เพียงพอกับจำนวนการใช้จ่ายที่วางแผนเอาไว้ เพราะการรูดบัตรเครดิตหรือการกดเงินสดที่ตู้ ATM ต่างประเทศจะต้องเสียค่าธรรมเนียมถึง 2 ต่อ นั่นคือค่าบริการจากต้นทางและค่าความเสี่ยงในการแปลงค่าจากเงินวอนเป็นเงินบาท  

  1. 5. ระบบไฟฟ้า

ปิดท้ายกันด้วยเรื่องของระบบไฟฟ้าของประเทศเกาหลี ซึ่งปกติแล้วใช้เป็นไฟฟ้าแบบ 220 โวลต์ (เท่ากับบ้านเรา) แต่ปลั๊กไฟที่เกาหลีจะมีลักษณะเป็นแบบกลม 2 ขา และ 3 ขา ขึ้นอยู่กับสถานที่ (หากเป็นภาษาทางการจะเรียกว่าใช้หัวปลั๊กแบบ Type C และ Type F) จึงแนะนำให้พกอะแดปเตอร์ไปพ่วงต่อเพื่อการใช้งานที่ดีเยี่ยม ส่วนใครที่ลืมก็สามารถซื้ออะแดปเตอร์ที่เกาหลีได้เช่นกัน ราคาขึ้นอยู่กับยี่ห้อและคุณภาพเริ่มตั้งแต่ประมาณ 5,000 KRW ไปจนถึงหลัก 20,000 KRW  

สรุป 

นี่คือทั้ง 5 ข้อห้ามลืมเป็นอันขาดสำหรับใครก็ตามที่เตรียมตัวไปเกาหลีเพื่อท่องเที่ยวให้หนำใจหลังจากรอคอยกันมาแสนนาน โดยเฉพาะการลงทะเบียน K-ETA ต้องเช็กให้ถูกต้องตั้งแต่การกรอกข้อมูลและได้รับอีเมลยืนยันว่าดำเนินการผ่านเรียบร้อย จึงค่อยซื้อทัวร์ จองตั๋วเครื่องบิน หรือจองโรงแรมกันตามสะดวก และอีกสิ่งสำคัญอย่าลืมทุกทริปเมื่อต้องเดินทางไปเมืองนอก “ประกันเดินทางต่างประเทศ” พร้อมเป็นผู้ช่วยหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ซึ่ง “ประกันเดินทาง LUMA GO” คืออีกทางเลือกน่าสนใจ ราคาเริ่มต้นเพียง 199 บาท แต่ให้ความคุ้มครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาท สมัครง่ายผ่านออนไลน์ คุ้มครองโควิด-19 ประสานงานเคลื่อนย้ายผู้ป่วยกรณีฉุกเฉิน พร้อมสายด่วนตลอด 24 ชม. สบายใจจนจบทริปแน่นอน 

 

You May Also Like

สุขภาพจิตดี
สุขภาพ

ออกกำลังกายช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นได้จริงเหรอ

การออกกำลังกายมักเกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดีทางกาย สิ่งที่คนส่วนใหญ่คาดหวังว่าจะได้รับจากการออกกำลังกายจึงเป็นรูปร่างสัดส่วนที่ดีและความแข็งแรง แต่คุณอาจจะสังเกตได้ว่า ไม่ว่าจะออกไปเดินเร็วกลางแจ้งหรือยกน้ำหนักในยิม หลังจากออกกำลังกายคุณจะรู้สึกพอใจหรือมีความสุข ความรู้สึกดีเหล่านี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงชั่วคราว ดังที่หลายงานวิจัยพบว่าการออกกำลังกายสามารถช่วยให้ปัญหาสุขภาพจิตดีขึ้นได้ การออกกำลังหายจึงมีข้อดีนอกเหนือไปจากสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ยังช่วยบรรเทาความเครียดชั่วคราว คลายความวิตกกังวล และช่วยให้ปัญหาสุขภาพจิตดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ในปี 2007 นักวิจัยจากอิสราเอลค้นพบว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิกเพียงหนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เมื่อต้นปี 2017 สถาบันการกีฬาและวิทยาศาสตร์การกีฬาแห่งเยอรมนี พบว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นประจำช่วยเพิ่มความสามารถของผู้เข้าร่วมวิจัยในการจัดการกับความเครียดในชีวิตจริง การออกกำลังกาย …

ดื้อยา
สุขภาพ

การดื้อยา: ทำความรู้จักกับการดื้อยาปฏิชีวนะในประเทศไทย

ยาปฏิชีวนะหรือที่เรียกว่ายาต้านแบคทีเรียเป็นยาที่ทำลายหรือชะลอการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย นับตั้งแต่การค้นพบเพนิซิลลินโดยอเล็กซานเดอร์ เฟลมมิงในปี 1928 ยาปฏิชีวนะได้ปกป้องและช่วยชีวิตผู้คนหลายร้อยล้านคนจากโรคติดเชื้อมากมาย อย่างไรก็ตาม ยาปฏิชีวนะใช้เฉพาะกับแบคทีเรียเท่านั้น และไม่สามารถใช้รักษาโรคติดเชื้อไวรัสหรือโรคติดเชื้อปรสิตส่วนใหญ่ได้ และควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมตามที่แพทย์ระบุเท่านั้น การใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไปจะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์หลายล้านล้านชนิดซึ่งมีความจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์และทรัพยากรสิ่งมีชีวิตบนโลกมีจำนวนลดลง แต่ในขณะเดียวกันจุลินทรีย์ดื้อยาจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นและทำให้ยากต่อการรักษาขึ้นเรื่อยๆ การหยุดใช้ยาปฏิชีวนะก่อนที่แพทย์กำหนดจะทำให้การรักษาในอนาคตไม่ได้ผล เนื่องจากแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตอยู่ได้สัมผัสกับยาปฏิชีวนะไปแล้ว และอาจเกิดการดื้อต่อยาปฏิชีวนะได้ หากมีการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่ถูกวิธีและเกินจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จะส่งผลให้เกิดความสูญเสียมากกว่าเกิดประโยชน์ เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สร้างภัยพิบัติให้กับอารยธรรมยุคใหม่ การดื้อยาปฏิชีวนะกลายเป็นความท้าทายอีกประการหนึ่งที่ประชากรโลกทั่วโลกกำลังเผชิญ ปัญหาเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะในประเทศไทย จากการศึกษาวิจัยสำคัญที่ถูกอ้างอิงอย่างกว้างขวางและตีพิมพ์ในปี …

HPV คือ
สุขภาพ

HPV คืออะไร อาการ เป็นอย่างไร ควรทำความเข้าใจให้ดี

เรื่องสุขภาพ ยิ่งรู้ก็มากยิ่งดี และถ้ายิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรค HPV (Human Papillomavirus) การรู้จักและทำความเข้าใจไวรัสชนิดนี้ที่พบได้อย่างแพร่หลาย ก็อาจเปลี่ยนชีวิตคุณได้เช่นกัน HPV เป็นไวรัสที่พบได้ทั่วไปมีมากกว่า 100 ชนิด และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้หลายอย่าง ตั้งแต่หูดไปจนถึงมะเร็ง ในบทความนี้ ได้รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับเชื้อ HPV ทั้งการแพร่เชื้อ ปัจจัยเสี่ยง การป้องกัน …