ลดน้ำหนักด้วยการทำ IF คืออะไร? ทำแล้วเห็นผลได้จริงหรือไม่

การอดอาหาร เพื่อหวังผลลัพธ์ของการลดน้ำหนักนั้น เป็นวิธีที่หลายต่อหลายคนเลือกใช้ เนื่องจากให้ผลลัพธ์ทันใจ และไม่ต้องออกกำลังกายให้เหนื่อย โดยหนึ่งในวิธีการลดน้ำหนักที่กำลังเป็นที่นิยมกันในขณะนี้ก็คือ การลดน้ำหนักด้วย การทำ IF (Intermittent Fasting) แต่การลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้จะได้ผลจริงและดีต่อสุขภาพหรือไม่นั้น ต่อไปนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวมถึงข้อดีและข้อเสียให้คุณได้ลองเลือกดู

 

Intermittent Fasting หรือ IF คืออะไร

Intermittent Fasting หรือ IF เป็นรูปแบบการอดอาหารที่มีวงจรการอดอาหารเป็นช่วงเวลา ไม่ใช่การอดอาหารตลอดทั้งวันหรือทุกวัน และไม่มีการจำกัดว่าจะต้องรับประทานอาหารประเภทไหนหรือชนิดใดด้วย ข้อจำกัดเดียวของหลักการอดอาหารแบบ IF ก็คือ การจำกัดช่วงเวลาในการรับประทานอาหารและช่วงเวลาที่ต้องอดอาหาร

IF คือ

IF มีกี่ประเภท?

การทำ IF มีอยู่ด้วยกัน 4 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้

1. การอดอาหารแบบ 5:2 (The twice-a-week method – 5:2)

การอดอาหารแบบ 5:2 หรือก็คือการอดอาหารสองวันต่อสัปดาห์ เป็นรูปแบบการอดอาหารที่จะเลือกวันสำหรับอดอาหารไว้แค่เพียงสองวันต่อสัปดาห์ และสองวันนั้นจะต้องทานอาหารให้ได้ปริมาณแคลอรีรวมกัน 500 แคลอรี เช่น

เลือกอดอาหารวันจันทร์กับวันพุธ ดังนั้น ทั้งสองวันนี้จะต้องรับประทานอาหารรวมพลังงานให้ได้ 500 แคลอรี

กล่าวคือ วันจันทร์รับประทานได้ 200 แคลอรี และวันพุธอีก 300 แคลอรี

สำหรับการอดอาหารด้วยวิธี 5:2 นั้น ควรจะเน้นการรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์และโปรตีนสูง

2. การอดอาหารแบบวันเว้นวัน (Alternate day fasting)

การอดอาหารแบบวันเว้นวัน คือ รูปแบบการอดอาหารที่จะทำสลับกับวันที่รับประทานอาหารในรูปแบบปกติ

กล่าวคือ วันนี้ให้รับประทานอาหารตามปกติ โดยสามารถที่จะรับประทานอะไรก็ได้ แต่วันต่อมาจะต้องจำกัดปริมาณแคลอรีไว้แค่เพียง 500 แคลอรีต่อวันเท่านั้น

3. การอดอาหารแบบจำกัดช่วงเวลา (Time-restricted eating)

การอดอาหารด้วยวิธีการจำกัดช่วงเวลาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการความยืดหยุ่นของเวลาในการรับประทานอาหาร เพราะสามารถเลือกช่วงเวลาที่ต้องการอดอาหาร และวางแผนช่วงเวลาในการรับประทานได้อย่างเป็นระบบ

สำหรับ IF ในรูปแบบนี้ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ การอดอาหารสูตร 16:8 ซึ่งสามารถทำได้โดย ในหนึ่งวันนั้นจะรับประทานอาหารได้เพียง 8 ชั่วโมง และอดอาหารให้ได้ 16 ชั่วโมง

โดยช่วงเวลาที่ถูกเลือกนำไปใช้มากที่สุด คือ การอดอาหารในช่วงกลางคืนไปจนถึงช่วงเที่ยงของอีกวันและจะไม่รับประทานอาหารเช้าด้วย เช่น การรับประทานอาหารในช่วง 11 โมง ไปจนถึง 1 ทุ่ม หรือ รับประทานอาหารในช่วงเที่ยงไปจนถึง 2 ทุ่ม และช่วงเวลาหลังจากนั้นก็จะไม่มีการรับประทานอาหารอีก จนกว่าจะครบ 16 ชั่วโมง ตามที่กำหนดไว้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่กำลังอดอาหารนั้น ยังสามารถที่จะดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารที่ไม่มีแคลอรีได้ เช่น กาแฟดำหรือน้ำอุ่น ซึ่งวิธีนี้สามารถทำได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือตามต้องการ

4. การอดอาหารแบบทั้งวัน (The 24-hour fast)

การอดอาหารแบบทั้งวัน หรืออดอาหารตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง โดยมากแล้วมักจะเลือกอดอาหารตั้งแต่มื้อเช้าของวันนี้ ไปจนถึงช่วงเวลาอาหารเช้าของอีกวัน หรือมื้อเที่ยงของวันนี้ ไปจนถึงช่วงมื้อเที่ยงของอีกวัน ซึ่งจะทำกันประมาณ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม การอดอาหารประเภทนี้เป็นวิธีที่มีผลเสียทางสุขภาพมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ความเสี่ยงที่จะเกิดอาการปวดศีรษะ มีผลต่ออารมณ์หรือสร้างความหงุดหงิด ทำให้ร่างกายอ่อนล้า ขาดพลังงานและขาดสมาธิ และอาจรู้สึกหิวจนทนไม่ไหว

 

ลดน้ำหนักIF

ผลดีของการทำ IF ต่อสุขภาพ

การอดอาหาร แม้จะฟังดูแล้วไม่ค่อยส่งผลดีต่อสุขภาพ เนื่องจากร่างกายควรจะต้องได้รับสารอาหารที่สมบูรณ์และเพียงพอ เพื่อให้มีพลังงานอย่างเต็มที่ พร้อมที่จะปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน

อย่างไรก็ตาม หากมีการอดอาหารด้วยวิธีที่เหมาะสม อย่างการอดอาหารแบบ Intermittent Fasting หรือการทำ IF ก็อาจให้ผลดีต่อสุขภาพได้ ดังนี้

ช่วยลดน้ำหนัก

เนื่องจากมีการอดอาหารที่จำเป็นจะต้องลดและจำกัดปริมาณของแคลอรีในแต่ละวัน จึงมีผลช่วยในเรื่องของน้ำหนักและการลดไขมันที่หน้าท้อง

ลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin resistance)

การอดอาหารเป็นระยะ อาจมีผลช่วยลดภาวะดื้อต่ออินซูลินและลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ประมาณ 3-6 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงระดับอินซูลินในอาหารก็จะลดลงมากถึง 20-31 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการที่ระดับอินซูลินลดลงนี้ มีผลช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ (Type 2 diabetes; T2D)

ดีต่อสุขภาพหัวใจ

ช่วงเวลาที่มีการอดอาหาร มีผลดีในส่วนที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ เช่น ระดับของคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี หรือ LDL ลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ลดไขมันในเลือด เป็นต้น

IF

ผลเสียของการทำ IF ต่อสุขภาพ

แม้การทำ IF จะให้ผลดีในเรื่องของการลดน้ำหนัก แต่ก็ยังมีข้อควรระวังที่อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพตามมาในภายหลัง ได้แก่

มีผลต่ออารมณ์ 

การอดอาหารมีผลทำให้รู้สึกหิว ซึ่งความหิวสามารถที่จะส่งผลลัพธ์ทางอารมณ์ที่อาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น

ไม่เหมาะกับสุขภาพของทุกคน 

ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้ที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ และผู้ที่มีปัญหาการกินผิดปกติ เช่น โรคคลั่งผอม (Anorexia) โรคบูลิเมียหรือโรคล้วงคอ (Bulimia) ไม่ควรทำการอดอาหาร เนื่องจากจะส่งผลต่ออาการทางสุขภาพและสุขภาวะที่เป็นอยู่

นอกจากนี้ การอดอาหารยังส่งผลต่อสุขภาพโดยตรงแบบเห็นได้ชัด ดังนี้

  • พลังงานลดลง

  • อารมณ์หงุดหงิดง่าย

  • รู้สึกหิว

  • รู้สึกง่วง

  • อุณหภูมิในร่างกายผิดปกติ

  • ขาดสมาธิ

  • ศักยภาพในการทำงานลดลง

การทำ IF เป็นวิธีที่ปลอดภัยหรือไม่

การลดน้ำหนักโดยใช้หลักการ IF สามารถที่จะทำได้ทุกคน และเห็นผลลัพธ์จริง หากมีการปฏิบัติอย่างถูกต้องและเหมาะสม ยกเว้นผู้ที่ปัญหาสุขภาพบางประการ เช่น สตรีที่ตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ระหว่างให้นมบุตร ผู้ที่มีปัญหาการกินผิดปกติ และผู้ที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่ควรทำการอดอาหารอย่างยิ่งไม่ว่าจะด้วยวิธีแบบใดก็ตาม เพราะอาจเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

ยิ่งไปกว่านั้น การอดอาหารด้วยวิธี IF หรือการอดอาหารรูปแบบอื่น ๆ ควรจะต้องอยู่ในขอบข่ายคำแนะนำของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อที่จะได้ประเมินความเสี่ยงและข้อควรระวังที่อาจจะส่งผลต่อสุขภาพขณะที่ทำการอดอาหาร

แต่ไม่ว่าจะเลือกลดน้ำหนักด้วยวิธีการไหนและปฏิบัติอย่างระมัดระวังอย่าง แต่การเจ็บป่วยก็เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ คุณเองก็สามารถเพิ่มความอุ่นใจให้กับตนเองมากขึ้นได้ด้วย “ประกันสุขภาพ” ที่จะช่วยให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลในยามเจ็บป่วย

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือกรอกแบบฟอร์มเพื่อให้เจ้าหน้าที่เราให้คำแนะนำในการเลือกแผน “ประกันสุขภาพ” ที่เหมาะกับคุณ

Table of Contents

You May Also Like

ค่ารักษา RSV
บทความ

ค่ารักษา RSV ในโรงพยาบาลเท่าไหร่

การรักษาอาร์เอสวี (RSV) ปัจจุบันยังไม่มีวิธีและยารักษา RSV เฉพาะ การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยแพทย์จะสั่งยาเพื่อรักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้ไอ ยาละลายเสมหะ หรือยาขยายหลอดลม รวมไปถึงรักษาแบบประคับประคองอาการโดยให้พักผ่อนให้เพียงพอ ให้ทานอาหารอ่อน ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมากต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลมผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย เคาะปอด และดูดเสมหะออก การรักษา RSV มักใช้เวลาประมาณ …

ประกันเดินทางต่างประเทศช่วยได้ยังไงบ้าง
บทความ

เมื่อมีประกันเดินทางต่างประเทศช่วยได้ยังไงบ้าง มาหาคำตอบเลย

ทุกครั้งเมื่อวางแผนเตรียมเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือด้วยเหตุผลใดก็ตามมักมีคำบอกเตือนจากคนรอบข้างกันอยู่เสมอว่าควรทำประกันเดินทางต่างประเทศติดไว้ด้วย เผื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอย่างน้อยที่สุดก็ยังสบายใจด้านค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่ยังมีข้อสงสัยว่าหากเกิดเหตุดังกล่าวจริงประกันเดินทางช่วยได้ยังไงบ้าง ตอบโจทย์ความคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน ขอพาทุกคนมาหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องของประกันเดินทางกันเลยดีกว่า! ความแตกต่างของประกันเดินทางกับประกันบุคคลประเภทอื่น  สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนมากคือเงื่อนไขกรมธรรม์ที่ระบุเอาไว้ โดยประกันเดินทางจะให้ความคุ้มครองเมื่อคุณท่องเที่ยวในประเทศแล้วเกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาล ขณะที่ประกันเดินทางต่างประเทศก็คุ้มครองเมื่อผู้เอาประกันพำนักอาศัยอยู่ต่างประเทศเป็นการชั่วคราว เช่น ไปเที่ยว เยี่ยมญาติ เยี่ยมเพื่อน ติดต่อธุรกิจ หรือเรียนคอร์สระยะสั้น แล้วเกิดเหตุไม่คาดฝันจนต้องรับการรักษาในโรงพยาบาลที่ต่างประเทศ ประกันตัวนี้จะให้ความคุ้มครองทันที เพียงแค่แจ้งรายละเอียดให้กับบริษัทรับรู้เท่านั้น ประกันเดินทางช่วยได้ยังไงบ้าง  …

วีซ่าออสเตรีย
บทความ

สรุปวิธีขอวีซ่าออสเตรียประเภทท่องเที่ยวฉบับอัปเดตปี 2024

“ออสเตรีย” หนึ่งในดินแดนตอนใต้ของแถบยุโรปกลาง ประเทศที่อัดแน่นไปด้วยสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และเรื่องราวอันน่าสนใจ นี่จึงเป็นเหตุผลที่หลายคนตัดสินใจอยากเดินทางไปเที่ยวออสเตรียสักครั้งในชีวิต แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่เรื่องเงินหรือแผนท่องเที่ยวชั้นยอดเท่านั้น เพราะ “วีซ่าออสเตรีย” คืออีกใบเบิกทางสำคัญที่สามารถบอกทุกคนได้เลยว่ามีโอกาสเดินทางเข้าประเทศของเขาหรือไม่ จึงขอสรุปข้อควรต้องรู้และวิธีขอวีซ่าท่องเที่ยวออสเตรีย ฉบับปี 2023 มาฝาก ข้อมูลควรรู้เกี่ยวกับการขอวีซ่าออสเตรียประเภทท่องเที่ยว ในการขอวีซ่าออสเตรียประเภทท่องเที่ยวจะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “วีซ่าเชงเก้น” สามารถพำนักอาศัยอยู่ในประเทศกลุ่มเชงเก้น (รวมออสเตรีย) ได้ไม่เกิน …