โรคภูมิแพ้ โรคใกล้ตัวที่ใครๆก็เป็นได้

โรคภูมิแพ้ หรือที่เรียกภาษาอังกฤษว่า Allergy เป็นโรคที่ใกล้ตัวเรา และเป็นโรคในอันดับต้น ๆ ของคนไทยที่เป็นกันมาก แต่รายละเอียดในโรคนี้อาจจะยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับพวกเราสักเท่าไร โดยโรคภูมิแพ้เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองผิดปกติต่อสารต่างๆ ที่เข้าสัมผัส หรือผ่านไปทางร่างกาย โรคนี้สามารถพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

โรคภูมิแพ้ หมายถึงอะไร

โรคภูมิแพ้ คือ โรคที่เกิดจากร่างกายของเราตอบสนองที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ เช่น อาหาร ฝุ่น เกสรพืช มากกว่าปกติ  โดยผู้ที่เป็นภูมิแพ้จะมีอาการและความรุนแรงของอาการแตกต่างกัน เพราะร่างกายของแต่ละคนจะมีการตอบสนอง รวมถึงมีชนิดของสารก่อภูมิแพ้ที่ไม่เหมือนกัน

โดยสาเหตุของโรคภูมิแพ้  สามารถเกิดได้ทั้งจากกรรมพันธุ์และเกิดจากสิ่งแวดล้อม โดยปกติถ้าพ่อหรือแม่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ ก็มีโอกาส 30-50 % ก็มีความเสี่ยงที่จะถ่ายทอดทางพันธุกรรมและมีความเสี่ยงที่ลูกก็จะเป็นโรคภูมิแพ้ แต่ถ้าพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ก็มีโอกาสสูงถึง 50-70 % ที่จะถ่ายทอดทางพันธุกรรมและมีความเสี่ยงที่ลูกก็จะเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าคนปกติที่มีแค่พ่อหรือแม่มีความเสี่ยง

แพ้ฝุ่น

โรคภูมิแพ้ฝุ่น เป็นภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้บ่อย เมื่อพูดถึงการแพ้ฝุ่น สามารถแบ่งสารก่อภูมิแพ้ได้ออกเป็น  2 ชนิดใหญ่ ๆ ดังนี้

  • ฝุ่นละออง หรือฝุ่นพิษ เช่น ฝุ่น PM 2.5 ในอากาศ
  • ไรฝุ่น เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่อยู่ตระกูลเดียวกับหิด แมงมุม แต่มีขนาดที่เล็กมากจนแทบไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และกินขี้ไคลและรังแคของมนุษย์เป็นอาหาร ไรฝุ่นพวกนี้มักอาศัยอยู่ในห้องนอนของเรา โดยเฉพาะบริเวณเตียงนอน ตามผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม ซึ่งทั้งตัวไรฝุ่นและมูลของไรฝุ่นนี้เองที่เป็นสาเหตุของการเกิดอาการภูมิแพ้ 

เมื่อเกิดภูมิแพ้ฝุ่นหรือไรฝุ่นอาจมีอาการภูมิแพ้ต่าง ๆ เช่น คันตา น้ำตาไหล คัดจมูก คันจมูก น้ำมูกไหล ไอ  จาม หายใจลำบาก ตาแดง หรือมีอาการคันหรือมีผื่นขึ้น แต่สำหรับคนที่เป็นโรคหืด อาจมีอาการที่รุนแรงมากกว่า เช่น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก

สำหรับการรักษาภูมิแพ้ฝุ่นและไรฝุ่น สำหรับผู้ทีมีอาการแพ้ฝุ่นที่ไม่รุนแรงสามารถบรรเทาอาการแพ้ได้ด้วยการรับประทานยาแก้แพ้หรือยาต้านฮิสตามีน  (Antihistamines) เมื่อมีอาการเป็นต้น 

แพ้ ขนหรือรังแคของสุนัขและแมว

โรคภูมิแพ้ขนหรือรังแคจากสัตว์เลี้ยงอย่างเช่น สุนัขและแมว เป็นภูมิแพ้ที่มักเกิดจากสารก่อภูมิแพ้จากสัตว์เลี้ยงอย่าง ขน และรังแค ซึ่งก็คือผิวหนังแห้งที่ลอกออกมาจากตัวสุนัขหรือแมว สำหรับอาการภูมิแพ้ที่เกิดจากขนหรือรังแคสัตว์เลี้ยงมักมีอาการคัดจมูก จาม มีน้ำมูก คันตา ไอ มีเสมหะในลำคอ มีผื่นคัน ตุ่ม หรือกลากขึ้นที่ผิวหนัง หรือแม้กระทั่งมีอาการแน่นหน้าอก หอบ 

สำหรับการรักษาภูมิแพ้ขนหรือรังแคจากสัตว์เลี้ยง หากมีอาการที่ไม่รุนแรงมาก สามารถรักษาด้วยการรับประทานยาแก้แพ้หรือยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines) ยาพ่นจมูก ยาพ่นคอ เมื่อมีอาการ แต่อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ต่อในขณะที่เป็นโรคภูมิแพ้ ก็สามารถรักษาอาการภูมิแพ้ได้ด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้หรือภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งเป็นการให้สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) ที่มาจากแมวหรือสุนัข ฉีดเข้าไปในร่างกายทีละน้อย เพื่อให้มีภูมิต้านทานต่อสิ่งที่แพ้จนสามารถทำให้หายขาดการโรคภูมิแพ้นี้ได้

แพ้ เกสรดอกหญ้า

โรคภูมิแพ้เกสรดอกหญ้า เป็นภูมิแพ้ที่เกิดจากละอองเกสรดอกไม้ ดอกหญ้า หรือสปอร์ของพืชและเชื้อรา ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้หนึ่งที่พบได้บ่อย ส่วนใหญ่การแพ้จำพวกนี้ส่วนใหญ่มักจะไม่เป็นตลอดทั้งปี แต่จะเกิดตามฤดูกาล โดยเฉพาะในฤดูที่มีอากาศแห้งและลมพัดแรง ที่ละอองเกสรดอกไม้จะมีการกระจายมากที่สุด  สำหรับอาการภูมิแพ้ที่เกิดจากเกสรดอกหญ้าต่าง ๆ มักมีอาการคัดจมูก จาม น้ำมูกไหล คันตา ตาแดง น้ำตาไหล ไอ  การรับรสหรือกลิ่นลดลง หรือผิวหนังอาจมีผื่นคัน ผื่นลมพิษ 

สำหรับการรักษาภูมิแพ้เกสรดอกหญ้า สามารถรักษาด้วยการรับประทานยาแก้แพ้หรือยาต้านฮิสตามีน  (Antihistamines) ที่ช่วยบรรเทาอาการคันจมูก คันตา น้ำมูกไหล ไอ จาม จากอาการแพ้ หรือยาสเตอรอยด์พ่นจมูก (Intranasal Steroids) ที่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมอาการของโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ เหมาะกับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ชนิดคงที่ หรืออาการปานกลางถึงรุนแรง

Methinee Chinmetheephithak

Methinee Chinmetheephithak

ผู้ตรวจสอบความถูกต้องของบทความทางการแพทย์
Luma's Medical Team

โรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้ในเด็กที่พบบ่อย

โรคภูมิแพ้เป็นสภาวะที่พบได้บ่อยในเด็กและมีความรุนแรงต่างกันไปตามบุคลิกภาพและสภาวะสุขภาพของเด็ก โรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในเด็กสามารถทำให้เด็กมีความไม่สบาย และอันตรายกว่าผู้ใหญ่เพราะบางครั้งเด็กอาจจะยังสื่อสารไม่ได้ หรือ ไม่ทราบถึงอาการที่กำลังเป็นอยู่ ทำให้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเด็กและครอบครัว ดังนั้นการเข้าใจและการจัดการกับโรคภูมิแพ้ในเด็กเป็นสิ่งสำคัญที่จะป้องกันไม่ให้เกิดอาการแพ้ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดการแพ้ และ บรรเทาอาการด้วยการรักษาที่ถูกต้อง

โรคแพ้อาหาร

โรคภูมิแพ้อาหาร เป็นโรคหนึ่งที่พบได้มากในเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก สำหรับอาหารที่ส่วนใหญ่เด็กมักจะมีอาการแพ้ มีดังนี้ 

  • นมวัว เด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี มีโอกาสที่จะแพ้โปรตีนในนมวัวได้สูง ซึ่งไม่สามารถไม่ย่อยน้ำตาลแลกโตสที่พบอยู่ในนมวัว    
  • ไข่ เด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี ก็จะเจออาการแพ้ไข่ได้ โดยเฉพาะในไข่ขาว เพราะในไข่ขาวจะมีโปรตีนที่ชื่อว่า โอวัลบูมิน ที่กระตุ้นให้เกิดการแพ้ได้ 
  • ถั่ว โดยถั่วที่พบการแพ้บ่อยๆ ได้แก่ ถั่วลิสงและถั่วเหลือง แต่สำหรับเด็กในไทยนั้นมักไม่ค่อยเกิดอาการแพ้ถั่วมากนัก
  • แป้งสาลี เด็กบางคนก็สามารถเกิดจะแพ้แป้งสาลี ได้ ในพวกจำพวกอาหารประเภทขนมปัง พาสต้า 
  • อาหารทะเล เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา จะกระตุ้นให้เกิดอาารแพ้ได้มากว่าสัตว์น้ำจืด 
  • อาหารอื่น ๆ เช่น อาหารแปรรูป ที่มักผสมสารเคมีต่าง ๆ ที่อาจกระตุ้นให้เด็กเกิดอาการภูมิแพ้ได้ รวมไปถึง เมล็ดพืชต่าง ๆ เช่น งา 

สำหรับอาหารประเภทนมวัว ไข่ และแป้งสาลีนั้น ส่วนมากเด็กอาการแพ้จะหายไปเมื่อโตขึ้น แต่สำหรับการแพ้อาหารประเภทถั่ว และอาหารทะเลนั้น จะมีอาการแพ้ตลอดชีวิต โดยโรคภูมิแพ้อาหารในเด็กนั้นจะมีอาการแพ้ตั้งแต่น้อยจนถึงรุนแรงจนถึงชีวิตได้  

สำหรับการดูแลป้องกันลูกน้อยจาการแพ้อาหาร สามารถทำได้โดยการให้ลูกดื่มนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดจนไปถึง  6  เดือนเป็นอย่างน้อย เพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการที่เด็กจะแพ้นมวัว และเริ่มให้อาหารเสริมหลังจากเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป และหลีกเลี่ยงการให้อาหารที่เสี่ยงต่ออาการแพ้แก่เด็ก

โรคหืด

โรคหืด เป็นอีกหนึ่งโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้ เกิดจากการที่มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม ร่วมกับหลอดลมตีบแคบและมีภาวะไวต่อสารกระตุ้น เช่น สารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ทำให้เกิดอาการหายใจเร็วและแรงกว่าปกติ แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก โดยโรค หืดอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือจากกรรมพันธุ์ ถ้าพ่อแม่เป็นโรคหืด ลูกจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหืดเพิ่มขึ้น 

ดังนั้น เมื่อพ่อแม่เห็นลูกมีอาการเหมือนโรคหืด ควรพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อตรวจ หากเด็กเป็นโรคหืด แพทย์จะแนะนำยาที่ช่วยบรรเทาอาการทั้งแบบยาชนิดรับประทานและยาชนิดสูดเข้าทางปาก และสำหรับเด็กที่เป็นโรคหืด ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการ รวมถึงทำความสะอาดห้องนอนอยู่เสมอ ไม่เก็บของที่เก็บฝุ่นในห้อง หมั่นซักผ้านวม ผ้าปูที่นอน

โรคผื่นแพ้ทางผิวหนัง

โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง หรือที่ได้ยินบ่อยๆ คือ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) เป็นภาวะที่ผิวหนังมีการอักเสบเรื้อรัง โรคนี้สามารถพบได้บ่อยในทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อาการสำคัญของโรคนี้คือผิวหนังที่แห้งและอักเสบ และมักมีอาการคัน มันจะเป็นมากขึ้นโดยเฉพาะในเวลากลางคืน

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังยังอาจเกิดตุ่มน้ำและตุ่มหนองขึ้นบนผิวหนัง และในบางครั้งอาจจะมีน้ำเหลืองไหลออกมา หากมีการติดเชื้อร่วมกับโรคนี้ อาจจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของการอักเสบ และต้องปรึกษาทางแพทย์เพื่อรักษาเพิ่มเติม

การดูแลรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังส่วนมากเน้นไปที่การบรรเทาอาการและการควบคุมอาการ  การป้องกันหลักคือการบำรุงผิวหนังให้ชุ่มชื่นเพื่อลดอาการแห้งและคัน เพราะฉนันการใช้ครีมบำรุงผิวที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากความชุ่มชื่นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่อาจะทำให้อาการแย่ลง เช่น สารเคมีและสารกันเสียที่อาจกระตุ้นการอักเสบของผิวหนัง

โรคภูมิแพ้เยื่อบุโพรงจมูก

โรคภูมิแพ้ในเด็กอีกโรคหนึ่งที่พบ คือ  โรคภูมิแพ้เยื่อบุโพรงจมูก  อาการของโรคนี้สำหรับเด็ก ๆ คือ มีอาการคันจมูก จามบ่อย น้ำมูกไหล มีอาการคันตา เคืองตา ตาบวม และอาการไอเนื่องจากมีเสมหะ เจ็บคอ หากปล่อยไว้นาน อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคภูมิแพ้เยื่อบุโพรงจมูกตามมา เช่น โรคไซนัสอักเสบ โรคหูชั้นกลางอักเสบ เป็นต้น 

สำหรับการดูแลรักษาโรคภูมิแพ้เยื่อบุโพรงจมูก สามารถรักษาได้โดยการใช้ยาแก้แพ้ ยาสเตอรอยด์พ่นจมูก ซึ่งช่วยลดอาการคัน คัดจมูก น้ำมูกไหลได้ รวมถึงการใช้น้ำเกลือล้างจมูก ก็สามารถช่วยล้างน้ำมูก สารก่อภูมิแพ้ ช่วยลดอาการคัดจมูกได้   และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ให้มากที่สุด

โรคภูมิแพ้เยื่อบุตา

อีกหนึ่งโรคภูมิแพ้ในเด็กที่พบค่อนข้างบ่อย คือ โรคภูมิแพ้เยื่อบุตา ที่ร่างกายเกิดการตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ ทำให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุตา โดยจะมีอาการตาแดง น้ำตาไหล คันหรือเคืองในตา ขี้ตามีลักษณะใสหรือมีสีขาวขุ่น และอาจมีอาการภูมิแพ้อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คันจมูก จาม น้ำมูกไหล เป็นต้น หากปล่อยไว้จนเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย อาจมีอาการปวดแสบร้อนในดวงตาได้

สำหรับการดูแลรักษาโรคภูมิแพ้เยื่อบุตา สามารถรักษาได้โดยยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน และยาแก้แพ้ชนิดหยอดตา รวมถึงการประคบเย็นที่ดวงตา ก็จะสามารถช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุตาได้ 

 

สำหรับเด็ก การมีประกันสุขภาพเด็กจึงเป็นเรื่องจำเป็นมากๆ เนื่องจากเด็กสามารถแพ้ได้หลายอย่าง โดยที่ไม่รู้ตัว ตัวเด็กเอง ไม่เข้าใจอาการของการแพ้ ผู้ปกครองเอง ก็ไม่สามารถรู้เอง ว่า ลูกแพ้ หรือ ไม่แพ้ อะไรบ้าง จนกว่าจะเกิดอาการแพ้ขึ้นมา 

อาการแพ้ในเด็ก มีทั้งแบบ แพ้เล็กน้อย ไปถึงแพ้รุนแรง อาจจะอันตรายต่อชีวิตได้ คนที่มีลูกไม่ควรนิ่งนอนใจเรื่องการแพ้ และควรมองหาประกันสุขภาพเด็กที่ครอบคลุม และคุมครองเพียงพอกับการรักษา และยิ่งเด็กเล็ก ควรที่จะทำมีประกันสุขภาพเด็กตั้งแต่อายุน้อยๆ ก่อนที่อาการแพ้จะกลายเป็นโรคประจำตัวที่เป็นมาก่อนทำประกัน  และมีโอกาสที่บริษัทประกันจะไม่คุ้มครองการรักษา

โรคภูมิแพ้ในเด็ก

การทดสอบภูมิแพ้

สำหรับการทดสอบโรคภูมิแพ้นั้น สามารถทำการทดสอบได้ 2 วิธี ดังนี้

การทดสอบภูมิแพ้ผ่านทางผิวหนัง (Allergy skin test)

การทดสอบภูมิแพ้ผ่านทางผิวหนัง จะทดสอบโดยการนำน้ำยาที่สกัดจากสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ในอากาศ เช่น ฝุ่น  เกสรพืช รังแคของสัตว์ และสารก่อภูมิแพ้จากอาหารประเภทต่างๆ มาทำการทดสอบที่ผิวหนังของผู้ที่เป็นภูมิแพ้ เพื่อหาว่าร่างกายแพ้สารก่อภูมิแพ้ใด การทดสอบนี้สามารถทำได้ง่าย ราคาไม่แพงนัก และทราบผลค่อนข้างไว โดยวิธีที่นิยมใช้มากที่สุดในการการทดสอบภูมิแพ้ผ่านทางผิวหนัง คือ วิธีการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังด้วยการสะกิด” (skin prick test) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

  1. 1. หยดน้ำยาที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ลงบนผิวหนัง จากนั้นจึงใช้เครื่องมือทดสอบ สะกิดที่ผิวหนัง โดยส่วนมากจะเป็นบริเวณท้องแขน สำหรับเด็กเล็ก มักจะทดสอบบริเวณหลัง
  2. 2. รออ่านผลหลังจากการทดสอบประมาณ 15-20 นาที หากแพ้สารใด ก็จะเกิดอาการมีตุ่มแดง นูน หรือคัน ในตำแหน่งที่ทดสอบสารก่อภูมิแพ้นั้น ๆ
  3. 3. หลังจากการทดสอบ แนะนำให้นั่งรอดูอาการต่ออีกประมาณ 30 นาที หากไม่มีอาการผิด ปกติอย่างอื่น ก็สามารถกลับบ้านได้

อย่างไรก็ตาม ก่อนการทดสอบ ควรงดรับประทานยาแก้แพ้ (เฉพาะชนิดที่รับประทาน) ก่อนมาทำการทดสอบอย่างน้อย 5-7 วัน หากมีโรคประจำตัว อย่างเช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือมีการใช้ยาสเตียรอยด์ ควรแจ้งชื่อยาให้แพทย์ทราบก่อนทดสอบ

การเจาะเลือดส่งตรวจ เพื่อหาสารก่อภูมิต้านทานต่อสารก่อภูมิแพ้ (Serum Specific IgE) 

การทดสอบภูมิแพ้ด้วยการเจาะเลือดส่งตรวจ มีข้อดีตรงที่ไม่จำเป็นต้องงดรับประทานยาแก้แพ้ก่อนมาทำการทดสอบ ไม่ต้องเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ รวมถึงใช้เวลาทดสอบไม่นาน แต่จะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และต้องรอผลการทดสอบประมาณ 1 สัปดาห์

การดูแลร่างกาย เมื่อเป็นโรคภูมิแพ้

สำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ สามารถดูแลร่างกายเพื่อหลีกเลี่ยงหรือช่วยลดอาการของภูมิแพ้ได้ ดังนี้

  1. 1. การเตรียมยาแก้ภูมิแพ้หรือยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines) เพื่อกรณีฉุกเฉิน เช่น ยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน หรือยาแก้แพ้ประจำจากแพทย์เจ้าของไข้
  2. 2. พยายามหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ หรือสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ต่าง ๆ ที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน เช่น ฝุ่นละออง ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ หรืออาหารต่าง ๆ
  3. 3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เข้านอนดึกจนเกินไป เพื่อให้ร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันได้มีการซ่อมแซมและฟื้นฟูได้อย่างเพียงพอ
  4. 4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5 หมู่ รวมถึงรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่อยู่เสมอ
  5. 5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที การออกกำลังกายจะทำให้ความไวของเยื่อบุจมูกและเยื่อบุหลอดลมลดลง รวมถึงมีภูมิต้านทานต่อโรคหวัดมากขึ้นอีกด้วย
  6. 6. ทำความสะอาดบ้าน ที่อยู่อาศัย ให้สะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะบริเวณที่อับชื้นที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อรา และควรจัดบ้านให้โล่ง สะอาด หลีกเลี่ยงวัสดุที่ทำมาจากขนสัตว์หรือผ้าหนา ๆ

สรุปบทความ

โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด และก็มีภูมิแพ้หลากหลายรูปแบบ อันส่งผลให้เกิดอาการแพ้ที่แตกต่างกัน จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา และถึงแม้ว่าโรคภูมิแพ้จะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ยาก แต่ถ้าหากเรารับรู้ถึงสาเหตุของการเกิดโรคภูมิแพ้แบบต่าง ๆ วิธีการรักษา การดูแลร่างกายและการป้องกันโรคภูมิแพ้แล้ว ก็ย่อมทำให้เราสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับโรคภูมิแพ้แบบต่าง ๆ ได้ การทำประกันสุขภาพเด็กตั้งแต่ลูกยังอายุน้อย สามารถช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงิน และคุ้มครองลูกให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และ ปลอดภัย 

 

Methinee Chinmetheephithak

ผู้ตรวจสอบความถูกต้องของบทความทางการแพทย์ Luma’s Medical Team

โรคภูมิแพ้

“ที่บ้านฉันแพ้อากาศทั้งฉันเองและคุณป้า เวลาเกิดอาการแพ้จะมีทั้งน้ำมูกไหล จาม และเป็นหวัด ต้องคอยรู้ตัวให้ทันเวลาอากาศเปลี่ยนแปลง เช่น เข้าฤดูฝน อาการแพ้ชอบตามหา 

ในการปรับเปลี่ยนชีวิตเพราะมีโรคภูมิแพ้ ปรับไม่มากค่ะ ขยันออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง รวมกับนอนให้เพียงพอ แต่หากอาการหนักจะมีการใช้ยาช่วยให้ดีขึ้นค่ะ”

Neung, ฝ่ายบุคคล

โรคภูมิแพ้

ที่บ้านผมมีคนเป็นโรคภูมิแพ้ 2 คนครับ ตัวผมเองแพ้ฝุ่นและไรฝุ่น ส่วนคุณพ่อแพ้น้ำยาฆ่าแมลง 

สำหรับผมเวลาแพ้ฝุ่นจะมีอาการ จามไม่หยุด ต้องเอาตัวเองออกห่างจากพื้นที่ตรงนั้นและสูดอากาศบริสุทธิ์ ใช้เวลาไม่นาน อาการก็จะดีขึ้นครับ

แต่สำหรับคุณพ่อ เวลาเกิดอาการแพ้จากกลิ่นยาฆ่าแมลง คุณพ่อมีอาการหอบหืดและต้องใช้ยารักษา”

Dr. Kao, แผนกการตลาด

โรคภูมิแพ้

“ส่วนตัวผมไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ แต่คุณลุงแพ้อาหารครับ แพ้กล้วย และขนมจีน เพราะขั้นตอนในการทำมีการหมัก

อาการของคุณลุงเวลาเกิดอาการแพ้จะหายใจลำบาก แต่ยังไม่เคยอาการหนักถึงขั้นต้องไปโรงพยาบาล มีการปรึกษาหมอและรับทราบว่าแพ้ 2 สิ่งนี้เลยต้องปรับการใช้ชีวิตนิดหน่อย เช่น ที่บ้านจะไม่กินขนมจีนแค่นั้นเอง”

Petch, แผนการขาย

Table of Contents

You May Also Like

ประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่ไหนดี
บทความ

ประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่ไหนดี 2567

ประกันสุขภาพเหมาจ่ายมีให้เลือกค่อนข้างเยอะในทุกวันนี้ และด้วยข้อมูลที่คอนข้างเยอะ รายละเอียดที่ต้องสนใจเยอะ ทำให้การตัดสินใจอาจจะลำบากกว่าที่ควรเป็น LUMA ได้ทำการบ้านมาให้แล้ว ว่าบริษัทไหนดีอย่างไร LUMA AXA MTL LMG Pacific Cross Allianz Ayudhya วิริยะประกันภัย April Falcon Insurance ในเมื่อเลือกแล้ว …

ผู้เกี่ยวข้องในประกันสุขภาพ
บทความ

ผู้เกี่ยวข้องในกรมธรรม์ประกันสุขภาพมีใครบ้าง

สำหรับมือใหม่ที่พึ่งทำความรู้จักกับวงการประกันภัยอาจจะเกิดความไม่เข้าใจหรือสงสัยเกี่ยวกับคำเรียกบุคคลต่างๆที่อยู่ในกรมธรรม์ วันนี้เราจึงจะมาอธิบายถึงความหมายและความแตกต่างของบุคคลเหล่านี้ให้ฟังกัน ผู้รับประกันภัย คือ คู่สัญญาฝ่ายที่ตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ตามสัญญาประกันภัย โดยทั่วไปผู้รับประกันคือ บริษัทประกันภัย ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผู้รับประกัน มีบทบาทสำคัญใน การบริหารจัดการความเสี่ยง และ การให้ความคุ้มครอง แก่ผู้เอาประกันภัย หน้าที่หลักของผู้รับประกันภัย คือ  – รับความเสี่ยงแทนผู้เอาประกันภัย – ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ …

Free Look Period คือ
บทความ

Free Look Period คืออะไร?

สำหรับใครที่พึ่งเริ่มศึกษาเกี่ยวกับการทำประกัน เรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องรู้อีกเรื่องหนึ่งเพื่อไม่ให้เสียสิทธิของตัวเองหลังจากการซื้อกรมธรรม์แล้วคือ Free Look Period หรือ ‘ระยะเวลาพิจารณา’ เป็นสิทธิ์ที่บริษัทประกันภัยมอบให้แก่ผู้เอาประกันภัยหลังจากการซื้อกรมธรรม์ประกันภัยฉบับใหม่ เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยมีเวลาศึกษารายละเอียดและตัดสินใจว่าต้องการยกเลิกกรมธรรม์หรือยังคงต้องการความคุ้มครองต่อไป โดยหากผู้เอาประกันภัยต้องการยกเลิกกรมธรรม์ภายในระยะเวลาพิจารณานี้จะไม่ต้องเสียค่าปรับใดๆ ระยะเวลาสำหรับ ‘ระยะเวลาพิจารณา’ (Free Look Period) โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 15 วันสำหรับการติดต่อซื้อประกันกับทางตัวแทนหรือผ่านระบบธนาคาร และ 30 …